วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2559

หลายสิ่งหลายอย่างในโลกนี้กำลังจะเปลี่ยนไป….

อีกครั้งหนึ่งที่คุณพี่ชายของผู้เขียน ขอฝากความคิดเห็นดีๆ เกี่ยวกับพลังงานไฟฟ้า ที่จะมาทดแทนพลังงานฟอสซิล ภายในอนาคตอันใกล้นี้

ในปลายศตวรรษที่ 18  ผ่านต่อมาต้นศตวรรษที่ 19 โลกได้ผ่านยุคที่เรียกว่า ยุคอุตสาหกรรมแต่เมื่อมาถึงปลายปี 19’s ต่อ 20’s โลกเริ่มเข้าสู่ภาวะโลกร้อน (Green House Effect) ซึ่งหากปล่อยภาวะนี้ไปเรื่อยๆ พูดได้คำเดียวว่ามนุษยชาติต้องย้ายบ้านไปอยู่โลกอื่น  โลกที่เล็งกันอยู่คือดาวอังคาร ในฐานะ บ้านที่สอง ของมวลมนุษย์

 คำถามก็คือ  มนุษยชาติเราพร้อมจะย้ายบ้านหรือยัง?

โชคดีนะครับว่า เรามีเทคโนโลยีเพียงพอที่จะหยุดสภาวะเรือนกระจก และมีผู้นำทางความคิด 
และทำจริงๆ ให้โลกเห็นแล้ว 

ผู้นั้นคือ นายอีลอน มัสค์ ชาวอาฟริกาใต้ที่อพยพเข้าไปอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา 

เป็นเรื่องน่าแปลกอยู่อย่างหนึ่งว่าประเทศอาฟริกาใต้ นอกจากผลิต นายอีลอน มัสค์ ยังผลิตสาวสวยบาดใจเป็นดาราฮอลีวู้ดระดับตุ๊กตาทองอีกคนเธอคือชาริซ ธีรอน หนังเรื่องสุดท้ายที่เธอเล่นคือ MAD MAX the Fury Road แต่เรื่องนี้เธอต้องแต่งลดความสวยอย่างสุดๆ เพื่อเล่นเป็นสาวห้าวขาลุยในทะเลทราย


ปัจจุบันนายอีลอน แสดงให้โลกเห็นแล้วว่า เราสามารถมีรถไฮเทคที่วิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าแบตเตอรี่ที่เติมไฟฟ้าผลิตจากโซล่าเซลล์บวกลูกเล่นอื่นอีกมากมาย เป็นการหักดิบค่ายรถยนต์ทุกค่ายในโลกนี้ที่ยังมัวแทงกั๊กเห็นแก่ผลประโยชน์ที่สูญเสียและจะต้องตั้งต้นใหม่ พยายามทำและขายรถ Hybrid อยู่ในทุกวันนี้ ยกเว้น Nissan leaf และ BYD ของจีน

วันนี้ ทุกธุรกิจไม่ว่าจะเป็นอะไร ผู้บริหารหรือเจ้าของต้องรู้ก่อนว่า  จากนี้ไปเป็นยุคที่อาจเรียกได้ว่า
เป็น ยุคปฏิวัติล้มกระดานและต้องเริ่มต้นเล่นเกมใหม่  ( Age of game changing ) ใครที่ไม่ปรับเปลี่ยนหรือเริ่มต้นใหม่ไม่ทัน ก็จะถูกเขี่ยตกกระดานไป  เอากันแค่อุตสาหกรรมรถยนต์ เฉพาะธุรกิจนี้  เราก็พอมองเห็นภาพว่ารูปแบบธุรกิจเหล่านั้นจะถูกเปลี่ยนอย่างแน่นอน

                                                 สิ่งที่อาจเปลี่ยนไป
น้ำมันเชื้อเพลิง             รถเครื่องยนต์เผาไหม้สันดาปค่อยๆหมดไป
น้ำมันหล่อลื่น             ปั๊มน้ำมันเป็นที่พักรถ และชาร์จไฟฟ้าให้รถพลังงานไฟฟ้าแทน
ชิ้นส่วนอะไหล่ยนต์        โรงงานผลิตมอเตอร์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนช่วงล่างบางชิ้น
ศูนย์บริการรถ                  รถไฟฟ้ามีชิ้นส่วนด้านบำรุงรักษาน้อยลง หากินบริการไม่ได้แล้ว
ศูนย์การค้า                      สั่ง ON LINE มากขึ้น เพราะถูกกว่าและสะดวกกว่า
โรงภาพยนตร์                   เป็นระบบ Streaming ดูภายในบ้าน
ร้านหนังสือ                       Ebook , Online
                                    ฯลฯ

กลับมาคุยกันเรื่องพลังงานแสงอาทิตย์กันดีกว่า ต้องขอชื่นชมคณะอาจารย์บริหารธรรมศาสตร์ที่ประกาศว่า ขณะนี้มี solar roof ติดตั้งบนตึกมหาวิทยาลัย ซึ่งสามารถจะผลิตไฟฟ้าใช้เองได้ถึง
15  เมกะวัตต์ เป็นมหาวิทยาลัยอันดับแรกใน  AEC ที่ได้ลงมือปฎิบัติการที่เป็นรูปธรรมเช่นนี้




หากใช้กรณีตัวอย่างนี้เป็นเกณฑ์  รัฐบาลชุดนี้ (ขอย้ำต้องชุดนี้เท่านั้น) ชุดอื่นที่มาจากการเลือกตั้งคงลำบากที่จะตัดสินใจแบบที่กำลังจะเสนอนี้ เพราะผลประโยชน์เกี่ยวข้องในปัจจุบัน

ภายใน 5 ปี ข้างหน้า บ้านเรือนที่อยู่อาศัย คอนโด โรงงาน ต้องผลิตไฟฟ้าแบบโซล่าร์รูฟ  และเสนอในแบบแปลนถึงจะได้รับอนุญาตให้สร้างได้

    ระหว่างปี พ.ศ.  2560 - 2565 :-
     1. โรงงานไฟฟ้าเดิมและสร้างใหม่ ต้องติดโซล่ารูฟเพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ในที่สาธารณะ หรือขายให้ชาวบ้านที่ลักษณะบ้านเรือนไม่เอื้ออำนวยให้ผลิตโซล่ารูฟ
     2. รถใหม่เครื่องยนต์เผาไหม้สันดาปไม่อนุญาตให้ขายในประเทศไทย  (แล้วรถมอเตอร์ไซต์ยังไม่มีใครพูดถึง)
     3. รถยนต์ที่เป็นเครื่องยนต์เผาไหม้สันดาปต้องดัดแปลงเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งหมด  มิฉะนั้นไม่ต่อทะเบียนให้
     4. ในระหว่างช่วงระยะ 5 ปีนี้ บ้านพักอาศัยและพวกโรงงานที่มีมาอยู่แต่เดิม 
ต้องทะยอยติดตั้งโซล่าร์รูฟให้ครบทุกครัวเรือน  และทุกโรงงาน  โดยภาครัฐจะหาหนทาง
ช่วยเหลือทางการเงินเพื่อสำรองจ่ายในการสนับสนุนโครงการณ์นี้ไปก่อน  ในกรณีที่
เจ้าของบ้านหรือโรงงานบางแห่ง อาจจะยังไม่พร้อมที่จะลงทุนเป็นเงินก้อนใหญ่เลยทีเดียว

หักดิบอย่างรุนแรง?  ถูกต้องที่สุด เมื่อแลกกับความจริงว่าเราจะอยู่บนโลกนี้ไม่ได้  ถ้ายังใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากฟอสซิลเป็นเชื้อเพลิง  รัฐบาลคุณลุงตู่เท่านั้นที่จะทำได้ คุณลุงช่วยตัดสินใจช่วยโลกด้วยครับ

โอ้...พวกเราทั้งโลกเกือบจะแย่กันหมด เมื่อสองวันที่แล้ว!

เช้าวันนี้  มีข่าวเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง ซึ่งหลายๆ ท่านอาจจะดูผ่านตาไป

แต่ถ้าหากเรามานั่งคิดดูกันแล้ว  จะพบกับความเป็นไปได้ที่ว่า อวสานของโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว จนไม่มีใครจะสามารถตั้งตัว หรือเตรียมใจกันได้ทันเลย



 เดอะซัน - สื่ออังกฤษรายงานในวันอังคาร(30ส.ค.) ว่าอุกกาบาตลูกหนึ่งพุ่งผ่านโลกในระยะแค่ 50,000 ไมล์เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ด้วยที่เหล่านักดาราศาสตร์สังเกตเห็นล่วงหน้าแค่วันเดียว กระพือความกังวลว่าอาจมีสักวันที่อุกกาบาตพุ่งเข้าชนโลกและกวาดล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ ชนิดที่ว่าผู้คนไม่มีโอกาสได้สวดมนต์ภาวนากันแม้แต่น้อย
  
       เป็นเรื่องดีที่เชื่อว่าเหล่านักดาราศาสตร์ของนาซา กำลังคอยเฝ้าจับตาอย่างใกล้ชิดต่อหินอวกาศทำลายล้างที่ลอยล่องผ่านอวกาศทุกลูก แต่ความจริงได้ปรากฏแล้วว่าอาจมีอุกกาบาตบางลูกเล็ดลอดสายตา และอาจพุ่งชนโลกกวาดล้างชีวิตมนุษย์โดยที่ไม่ทันตั้งตัว
      
       เมื่อวันอาทิตย์ (28ส.ค.) อุกกาบาตลูกใหญ่ ชื่อว่า 2016 QA2 พุ่งผ่านโลกใกล้จนน่าขนลุก ภายในระยะ 50,000 ไมล์ (ราว 80,000 กิโลเมตร) แต่ที่น่ากังวลยิ่งกว่าก็คือมันเพิ่งถูกตรวจพบโดยหอดูดาวโซเนียในบราซิล หนึ่งวันก่อนหน้านั้น

        แม้อุกกาบาตลูกนี้ค่อนข้างเล็กมีความกว้างราว 25 ถึง 55 เมตร แต่มันก็อาจเพียงพอที่จะก่อความเสียหายแก่โลก หากว่ามันพุ่งเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ
       
       ข้อสันนิษฐานนี้ไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายเกินไป เนื่องจากก่อนหน้านี้ก็เคยเกิดเหตุอุกกาบาตขนาดเล็กกว่านี้เล็กน้อยระเบิดกลางอากาศเหนือท้องฟ้าเมืองเซลยาบินสก์ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2013 ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 1,200 คน ขณะที่ประมาณการกันว่า อุกกาบาตที่สามารถกว้างล้างมนุษย์ได้ จะต้องมีขนาดความกว้างราวๆ 0.6 ไมล์(หรือราวๆ 1 กิโลเมตร)
       
       เหล่านักวิทยาศาสตร์สามารถระบุหินอวกาศทำลายล้างเหล่านี้ได้ราวๆ 95 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่อุกกาบาตลูกยักษ์สักลูกพุ่งเข้าชนโลกโดยที่มนุษย์ยังไม่ทันตั้งชื่อให้มันด้วยซ้ำ


       

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2559

สีของรถสามารถบอกอุปนิสัยของท่านเจ้าของรถได้จริงหรือ?

ผู้ใช้รถทุกท่านที่ได้ตัดสินใจเลือกสีของรถยนต์  ตอนถอยรถป้ายแดง หรือไม่ก็ตอนซื้อรถมือสองมานั้น  เขาว่า มันอาจจะไม่ใช่เป็นเหตุบังเอิญที่ท่านเกิดมีความรู้สึกชื่นชอบสีหนึ่งสีใดเป็นพิเศษ   แต่สีของรถสามารถบ่งบอกนิสัยใจคอ หรืออุปนิสัยของท่านเจ้าของรถได้เลย   บางท่านอาจจะกำลังคิดว่า ข้อมูลแบบนี้ มันฟังดูไม่เป็นเชิงวิทยาศาสตร์ จะออกแนวไสยศาตร์ด้วยซ้ำไป จึงอาจจะไม่น่าเชื่อถือสักเท่าไร  แต่มันก็ใช่เรื่องเสียหายอะไร   หากเราจะมาดูว่า ทางเมืองนอกเขาว่ากันอย่างไรในเรื่องนี้  ถือเป็นความรู้ประดับตัวก็แล้วกัน

ข้อมูลและภาพประกอบ คัดลอกและแปลมาจากเว๊ปไซต์ของบริษัท Simonize เจ้าของผลิตภัณฑ์ดูแลรักษาสีรถยนต์อันทรงคุณภาพระดับโลก

เมื่อเรากำลังพูดถึง สีรถ  ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า  เราหมายถึง สีของตัวรถจริงๆ ที่พ่นอยู่บนตัวถังรถทั้งคันนะครับ ไม่ใช่ แบบประเภทที่เอา สติ๊กเกอร์มาปิดข้างหลังรถ ว่า รถคันนี้สีดำ”  ทั้งที่ ตัวรถจริงๆ ดันเป็นสีขาว อะไรทำนองนี้ ทำให้ผู้ใช้รถที่ขับตามมาได้อ่านแผ่นสติ๊กเกอร์แล้ว  เกิดรู้สึกเป็นห่วงในการรับรู้ที่น่าจะสับสน ของเจ้าของรถคันข้างหน้า

เรามาเริ่มต้นจากรถสีขาวกันก่อนเลย  ซึ่งเป็นสียอดนิยมในปัจจุบัน ....





สีขาวบ่งบอกว่า ท่านเจ้าของรถสีขาว เป็นคนเรียบร้อยประณีต ไม่ตกยุค และมีเสน่ห์ดึงดูด  ตัวท่านเจ้าของรถเองก็ชื่นชอบที่จะอยู่ในแวดวงผู้คน  โดยที่ท่านพร้อมที่จะแสดงใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสดใสและทันสมัยต่อบุคคลภายนอก
มีข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า 23 % ของผู้ใช้รถในทวีปยุโรป เป็นเจ้าของรถสีขาว

ถัดต่อมา ก็เป็นสีดำ....


ตำราเขาว่า สีดำบ่งบอกว่า ท่านเจ้าของรถสีดำ มักชอบแสดงอาการข่มขู่ ฉลาดทันสมัย และแสวงหาอำนาจ  อันนี้ แปล ตรงตัวอักษรตามศัพท์ ท่านเจ้าของรถสีดำ อย่าเพิ่งว่ากันนะครับ รถสีดำสื่อถึง ความเป็นเจ้าของ ความสามารถเข้าควบคุม และพลังอำนาจ เฉกเช่นด้วยกับเจ้าของรถของมัน  ผู้ที่มักจะเข้าอยู่ในวงสังคมชั้นสูงอยู่เป็นประจำ

รถสีดำ มีโอกาสจะเกิดอุบัติเหตุได้มากถึง 47%



ต่อมา ก็เป็นสีเงิน...สียอดนิยมในอดีต...
ท่านเจ้าของรถสีเงินเป็นคนสงบเสงี่ยม และชอบเข้ารวมกลุ่มกับผู้คน มีความสนใจในนวัตกรรมใหม่ๆ เป็นคนละเอียด      ถี่ถ้วน แต่ก็มีความมั่นใจตัวเองอยู่ในทีท่า ซึ่งบุคลิกเหล่านี้ จะเห็นได้ชัด เมื่อท่านอยู่ข้างหลังพวงมาลัย
สถิติแสดงว่า รถสีเงินมีโอกาสถูกขโมยมากกว่า รถสีแดง สีเขียวและสีน้ำตาล ถึง 40%



ต่อมา เรามาพูดถึงรถสีเทา....
ท่านเจ้าของรถสีเทา แสวงหาความสมเหตุสมผลและความประณีตละเอียดลออ ในขณะเดียวกันก็พึงพอใจที่จะเข้าร่วมกับกระแสหมู่มาก ท่านจะแตกต่างไปจากผู้ใช้รถอื่นๆ ตรงที่ท่านไม่ต้องการพึ่งพาคนอื่น และมีความรอบรู้เฉลียวฉลาดเพียงพอที่จะเลือกความมีรสนิยมมากกว่าความฟุ่มเฟือยหรูหรา
สีเทาเป็นสีรถยอดนิยมลำดับที่ 4 ของโลก



ท่านเจ้าของรถสีแดง เป็นผู้กระตือรือร้นที่ต้องการจะล้ำหน้าไปกว่าใครๆ ในเรื่อง อำนาจและความสามารถ  สีแดงเป็นสีสากลแสดงถึงความเป็นรถสปอร์ต และบ่งชี้ว่า ท่านปรารถนาต้องการจะปลดปล่อยพลังของเครื่องยนต์บนถนนโล่งๆ
ตรงกันข้ามกับความเชื่อของคนทั่วไป  รถยนต์สีแดงไม่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยอุบัติเหตุ สูงกว่ารถสีอื่นๆ



เหมือนกับท้องฟ้าในฤดูร้อน   ท่านเจ้าของสีฟ้า เป็นนักขับขี่ที่คาดเดาใจได้ไม่ยาก สุขุมและปลอดภัย  สีฟ้าถือเป็นสีแห่งความเยือกเย็น เงียบสงบ เหมาะที่สุดสำหรับรถยนต์ของผู้ที่รักครอบครัว
กระแสความนิยมในรถสีฟ้าได้ลดลงเรื่อยๆ  ในปี คศ. 2014 มีเพียง 13% ของรถยนต์แล่นอยู่บนถนนที่เป็นสีฟ้า




ถัดต่อมาเรามาถึงสีน้ำตาล...
กระแสนิยม หรือแฟชั่น ไม่มีผลใดๆ กับท่านเจ้าของรถสีน้ำตาล  รถสีน้ำตาลของท่านจะเป็นทรัพย์สินที่คงทนถาวรตลอดกาล ที่ท่านจะขับมันจนถึงวันสุดท้ายจนมันตายจากไป....

ถัดจากสีเงิน  สีน้ำตาลเป็นสีรถที่ผู้หญิงส่วนมากชื่นชอบเป็นที่สุด




ท่านเป็นเจ้าของรถสีเหลืองอยู่หรือสูตรการใช้ชีวิตของท่าน น่าจะเป็น ไม่ต้องห่วงอะไร จงมีความสุขไปวันๆ”  สีเหลืองเป็นสีแห่งความสุข-การทะยานไปข้างหน้า-มีโชคดีตลอด ที่เปร่งรังสีของการมองโลกในแง่ดีและความรื่นเริง ถึงแม้ว่าตอนนั้นท่านเจ้าของรถกำลังติดแง๊กอยู่ในจราจร

ด้วยเหตุที่ว่า สีเหลืองสามารถมองเห็นได้ชัดเจน จึงทำให้รถสีเหลืองจะขับขี่ได้อย่างปลอดภัยมากกว่ารถสีอื่นๆ 
ที่มองเห็นได้ยากกว่า ถึง 15%



ท้ายสุดเป็นรถยนต์สีส้ม 
ท่านเจ้าของรถสีส้ม เป็นคนไม่ธรรมดาทีเดียว กล้ามุทะลุ และพร้อมที่จะแสดงตัวตนให้เด่นออกมาจากฝูงชน   รถยนต์สีส้ม ส่วนมาก ท่านเจ้าของรถอาจต้องจ่ายเงินเพิ่มเป็นพิเศษ ตอนออกรถ นั่นก็แสดงว่า ท่านพร้อมที่จะโปรยเงินเพื่อแลกกับความมีสไตล์
สีส้มเป็นสีรถลำดับที่ 2 ที่เหล่าบรรดาผู้ชายชื่นชอบ







เอ่อ ....ก่อนจบบทความ  ขอตัดเข้าโฆษณาของผู้อุปถัมภ์รายการซะหน่อยนะครับ
ไม่ว่า รถยนต์ของท่านจะเป็นสีไหน ผลิตภัณฑ์จาก Simoniz จะช่วยปกป้องสีรถของท่านให้สวยงามคงทนและมันเงาเป็น ประกายไปตลอดกาล

โปรดหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้าของ Simomiz ได้ที่  www.holtsauto.com/simoniz

ผู้ใช้รถที่ฉลาด เลือกใช้แต่ Simoniz”


วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2559

โรคหลงตัวเอง (Narcissistic Personality Disorder / N.P.D.)

วันนี้ ผู้เขียนขอแชร์บทความที่ได้อ่านเจอจาก health.kapook.com เห็นว่า มีความรู้และน่าสนใจดี
ขอขอบคุณ www.kapook.com ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

ลองเช็คตัวเองดูสิว่า คุณแค่เชื่อมั่นในตัวเองสูง หรือมีอาการป่วย ?

โรคหลงตัวเอง  อาการป่วยที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่นิสัยปกติ  แต่ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าระดับความหลงตัวเองของผู้ป่วยจะถึงขั้นสุดๆ จนเหมือนว่า โลกนี้มีแต่ฉันที่คิดถูกทำถูกอยู่คนเดียว   ซึ่งหากไม่รักษาอาจพัฒนาไปกระทำความผิดร้ายแรงโดยไม่รู้ผิดชอบชั่วดีได้
                ชีวิตนี้เราต้องเคยเจอคนหลงตัวเองมาไม่มากก็น้อย  เช่น หลงคิดว่าตัวเองสวย ดูดีแบบที่ใครก็สู้ไม่ได้  คิดว่าเป็นคนเก่งระดับเทพที่ใครจะเทียบชั้นก็ยาก  หรือในโลกโซเซียลกับคนที่อัพรูปตัวเองบ่อย ๆ นี่ ก็เข้าข่ายหลงตัวเองไม่น้อย ทว่าหากจะพูดถึงโรคหลงตัวเอง ยังมีข้อสังเกตถึงพฤติกรรมผู้ป่วยโรคหลงตัวเองอีกหลายอย่าง  ซึ่งคุณสามารถเช็คอาการตัวเองไปพร้อมๆ กับทำความรู้จักโรคนี้ให้มากขึ้น

โรคหลงตัวเอง คือ ?
                โรคหลงตัวเอง (Narcissistic Personality Disorder) หรือ "นาซิซีติส" (Narcissistic) หรือเรียกย่อ ๆ ว่า NPD หรือภาวะ Narcissism ชื่อของโรคหลงตัวเองในภาษาอังกฤษมีต้นกำเนิดมาจากเทพนาร์ซิสซัส เทพกรีกที่หลงรูปตัวเองจนต้องถูกสาปให้ตกหลุมรักตัวเอง ซึ่งก็มีส่วนตรงกับอาการของผู้ป่วยโรคหลงตัวเองอยู่ไม่น้อย
                แต่ในทางจิตวิทยา โรคหลงตัวเองคืออาการผิดปกติทางจิตที่มีอาการมากไปกว่าแค่หลงใหลในรูปโฉมของตัวเอง ทว่ายังมีเรื่องของความเห็นแก่ตัว ความรู้สึกอยากเป็นที่หนึ่ง อยากเป็นจุดสนใจ หรือความคิดที่ว่าตัวเองทำอะไรก็ไม่ผิด ซึ่งเป็นลักษณะของการถูกบ่มเพาะความคิดมาอย่างผิด ๆ จนนิสัยเหล่านี้ติดตัวมาในตอนโต กระทั่งทำให้เกิดเป็นโรคหลงตัวเองในที่สุด

สาเหตุโรคหลงตัวเอง
                ทางการแพทย์ยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดโรคหลงตัวเองได้ แต่ก็มีความพยายามจะวิเคราะห์ความเป็นไปได้ออกมาในหลาย ๆ ทาง เช่น การสั่งสอนแบบผิด ๆ มาตั้งแต่เด็ก พันธุกรรมหรือความผิดปกติของยีน รวมทั้งความเครียดและการถูกกดดันจากครอบครัว รวมไปถึงสภาพแวดล้อมที่อยู่จนทำให้ต้องรักตัวเองมาก ๆ เป็นการทดแทน

โรคหลงตัวเอง อาการแบบไหนเข้าข่ายป่วย
                อย่างที่บอกว่าอาการของโรคหลงตัวเองมีแค่เส้นกั้นบาง ๆ ระหว่างอาการป่วยกับนิสัยส่วนตัว ซึ่งถ้าจะเช็คให้ชัวร์ว่าป่วยด้วยโรคนี้จริงหรือไม่ อาจต้องดูจากอาการโรคหลงตัวเองตามนี้ด้วย โดยหากเช็คแล้วตรงกับความเป็นตัวเองเกิน  5 ข้อ ให้สงสัยว่าป่วยไว้ก่อนเลย
          1. คิดแต่เรื่องของตัวเอง แถมยังชอบพูดถึงตัวเองในแง่ดีบ่อย ๆ
          2. ชอบเรียกร้องความสนใจ อยากเป็นคนสำคัญตลอดเวลา
          3. คิดว่าตัวเองเป็นบุคคล VIP ฉันนี่แหละสำคัญที่สุดในโลกแล้ว
          4. ชอบเพ้อฝันถึงเรื่องเกินจริง มโนแจ่มไปกับสิ่งที่เป็นภาพลวงตา คิดว่าตัวเองเก่งสารพัดอย่าง และต้องได้รับแต่สิ่งดี ๆ
          5. อารมณ์แปรปรวน เหวี่ยงวีน และมักจะไม่พอใจอะไรบ่อย ๆ
          6. ไม่แคร์ใคร ไม่ใส่ใจความรู้สึกของคนรอบข้าง
          7. ต้องการที่จะชนะทุกสิ่งอย่างบนโลกนี้ โดยไม่สนว่าอะไรจะผิดจะถูก คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่คับฟ้า ทำอะไรก็ได้
          8. คิดว่าตัวเองมีแต่คนอิจฉา หรือรู้สึกอิจฉาคนรอบข้างบ่อยครั้ง
          9. ต้องการมีอำนาจ ต้องการคำชมเชย และอยากเป็นที่รักของคนอื่นอยู่เสมอ
          10. เอาแต่ใจตัวเอง จนไม่แคร์ว่าสิ่งที่ทำจะเป็นการเอารัดเอาเปรียบคนอื่นหรือไม่
          11. มักจะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง  อวดสิ่งที่มีสิ่งที่ได้ หรือเรียกง่าย ๆ ว่ากร่างไปทั่ว
          12. คบกับใครไม่ได้นาน  อยู่ร่วมกับคนอื่นยาก
          13. อ่อนไหวง่าย และมักจะฟูมฟายกับเรื่องที่เสียใจแบบเกินเหตุ
          14. ทนไม่ได้กับการถูกวิพากษ์วิจารณ์
          15. ไม่ยอมรับความผิดของตัวเอง  และมักจะโทษว่าเป็นความผิดของบุคคลอื่นร่ำไป
          16. รู้สึกเหมือนตัวเองเหนือกว่าคนอื่น และสามารถจะผลักใครให้พ้นทางก็ได้
          17. ชอบที่จะเป็นผู้รับ โดยที่ไม่คิดจะเป็นผู้ให้
          พฤติกรรมที่ว่ามาทั้งหมดอาจไปตรงกับใครหลาย ๆ คน ทว่าบางทีก็อาจเป็นแค่อุปนิสัยส่วนตัวที่ไม่ได้นับว่าเป็นโรค และบางคนก็ยังสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้ปกติโดยไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ดังนั้นหากจะให้แน่ใจจริง ๆ ควรได้รับการวินิจฉัยจากจิตแพทย์อีกครั้งนะคะ
การรักษา
                การรักษาโรคหลงตัวเองอาจทำได้เพียงแค่บำบัดอาการผิดปกติทางความคิดและจิตใจ ปรับทัศนคติให้ผู้ป่วยเปิดกว้างกับคนรอบข้างมากขึ้น และยังไม่มียารักษาโรคหลงตัวเองโดยตรง เพียงแต่หากผู้ป่วยมีความเครียดหรือความวิตกกังวล จิตแพทย์ก็อาจจะจ่ายยาแก้เครียดให้
                ส่วนในกรณีที่ผู้ป่วยติดเหล้าหรือยาเสพติด ซึ่งมักจะพบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคหลงตัวเอง จิตแพทย์ก็จะช่วยบำบัดอาการเหล่านี้ไปพร้อมกันด้วย แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นเด็ก  ทีมแพทย์จะช่วยปรับวิธีการเลี้ยงดูให้กับคนเป็นแม่ และส่งทีมผู้เชี่ยวชาญมาแนะแนวทางการสั่งสอนให้เด็กไม่เสี่ยงโรคหลงตัวเองโรคหลงตัวเองเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ หรืออย่างน้อย ๆ ก็มีวิธีบำบัดให้อาการอยู่ในระดับที่สังคมพอให้อภัย แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้ป่วยเองด้วยว่าจะให้ความร่วมมือในการรักษามากน้อยแค่ไหน เพราะถ้าอยากหายก็ต้องยอมรับว่าตัวเองเป็นผู้ป่วยให้ได้ก่อน และต้องยอมเข้ารับการบำบัดด้วยนะคะ

          ดังนั้นหากคุณเช็คดูจากอาการคร่าวๆ แล้วก็เหมือนจะเข้าข่ายนิสัยตัวเองหลายข้อ แนะนำให้ไปทำแบบทดสอบทางจิตวิทยากับจิตแพทย์เพื่อหาความชัดเจนให้ตัวเองก่อนดีกว่า

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2559

อนาคตของรถพลังงานไฟฟ้า

มีผู้ติดตามบทความใน Blog ของเราประจำท่านหนึ่ง วันนี้ ได้ส่งบทความแสดงความคิดส่วนตัวอันเป็นประโยชน์  เป็นประเด็นสืบเนื่องในเรื่อง อนาคตของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 

ท่านผู้นี้ คือ พี่ชายแท้ๆ ของผู้เขียน  ผู้คร่ำหวอดในวงการรถยนต์ของประเทศไทยมานานกว่า 30 ปี:-

              "ผมเป็นสาวกเดนตายของนายอีลอน มัสค์ ผู้สร้างรถ TESLA จนดังติดลมบน แต่การที่เราตื่นตัวเรื่องรถไฟฟ้าก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ที่มาของแหล่งพลังงานไฟฟ้าไม่ค่อยมีคนพูดถึง  หากจะคุยกันเรื่องนี้จริงจัง ต้องคุยเรื่องแหล่งที่มาของไฟฟ้าที่จะนำไปใช้กับแบตเตอรี่รถไฟฟ้าด้วย

               ความจริงในอเมริกา ไฟฟ้าเขามาจากพลังงานทางเลือกคือพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งขณะนี้ในอเมริกามีสถานีเติมที่เรียกว่า Supercharge สามารถเติมไฟฟ้าอย่างรวดเร็วภายในครึ่งชั่วโมง มีอยู่เป็นพันๆแห่ง ทั้งทวีปอเมริกาเหนือ นายอีลอนยังเป็นเจ้าของ บริษัท  SOLAR   CITY   ซึ่งขายแผ่น SOLAR CELL ด้วย  เพราะถ้าเรายังใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากน้ำมันหรือถ่านหิน  มันก็เพียงแต่ย้ายปัญหาเท่านั้นเอง ไม่ใช่เป็นการแก้ปัญหามลภาวะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

                ผมมีโจทย์อยู่ข้อหนึ่งในใจว่า  ในอดีตรัฐบาลไทยพูดถึงรถยนต์แห่งชาติ แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะถึงแม้โรงงานไทยจะผลิตชิ้นส่วนได้ทุกชิ้นที่ประกอบเป็นรถ  ยกเว้น เครื่องยนต์ซึ่งจะต้องเจรจากับบริษัทรถยนต์ต่างชาติ เช่น มิตซูบิชิ เหมือนกับรถยนต์โปรตอนของมาเลเซีย  แต่เรื่องรถไฟฟ้าแห่งชาติผมคิดว่าโอกาสมาถึงแล้ว  ผมเคยอ่านหรือเห็นจากยูทูป (ไม่แน่ใจ) ว่านายอีลอน มัสต์ ประกาศเลยว่าใครจะเอาเทคโนโลยีรถไฟฟ้าของแกไปต่อยอด แกจะไม่ฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์  มีนักข่าวถามแกว่า ทำไมถึงคิดเช่นนั้น  คำตอบของแกทำให้ผมเห็นว่าพระเจ้าส่งแกมาเพื่อช่วยชาวโลกให้พ้นหายนะจากมลภาวะที่แท้จริง  คำตอบคือ  แกทำคนเดียวคงไม่ทัน อยากให้ทุกประเทศทำรถไฟฟ้าที่อิงกับพลังงานแสงอาทิตย์ให้มาก ๆ  จะได้ช่วยมวลมนุษย์ให้พ้นจากหายนะในอนาคต”  ผมจึงตั้งโจทย์ว่าทำไมไม่คุยกับอีลอน และสร้างรถไฟฟ้าเป็นรถแห่งชาติของเรา  อีกอย่างหนึ่งเรื่องพลังงานแสงอาทิตย์ก็ต้องผลักดันกันสุด ๆ

                ผมฝันว่าในอนาคตรัฐบาลจะออกกฎหมายว่า สิ่งก่อสร้างทุกอย่าง เช่นบ้านเรือน หรือ คอนโด โรงงานต่างๆ หากจะขออนุญาตสร้างใหม่ ต้องมีแบบแปลนที่จะใช้แผ่นโซล่าเซลล์บนหลังคาด้วย 

                ในอเมริกา ขณะนี้มีบางเมืองในชนบท ที่ใช้พลังแสงอาทิตย์กันทั้งเมือง"



                 ในประเทศเดนมาร์กเอง ได้เริ่มแผนงานที่จะมุ่งเปลี่ยนแปลงพลังงานทั้งระบบ ไปเป็นพลังงานไฟฟ้าที่ได้จากแสงอาทิตย์ และกังหันลม 100% ในระดับประเทศ

ถ้าว่าง พี่ช่วยเขียนบทความมาลงแสดงความเห็นดีๆ มาอีกนะครับ   Thank you (3 times) ล่วงหน้า....

วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2559

อาการสมองเสื่อม Dementia (บทความต่อเนื่อง)

บทความก่อนหน้านี้ ได้เกริ่นถึง 10 สัญญาณที่บ่งบอกว่า อาการสมองเสื่อมอาจกำลังมาเยือน....

วันนี้ เรามาศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมว่า  มันมีปัจจัย หรือสาเหตุอะไรที่อาจจะเพิ่ม หรือลดโอกาส
ความเสี่ยงที่จะเกิดโรคสมองเสื่อมกันได้  สำหรับพวกเราๆ ท่านๆ ที่ล้วนแต่เป็นผู้สูงวัย

มีข้อมูลทางวิชาการที่ยืนยันอย่างชัดเจนแล้วว่า  การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
และให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของแต่ละคน จะช่วยทำให้สมองยั่งยืนจากการหลั่ง
สารประสาทเอ็นดอร์ฟิน (Endorphin) หรือสารความสุข
ส่งผลให้เซลล์สมองของเราที่อ่อนล้า กลับมากระฉับกระเฉงได้

การออกกำลังกายที่เหมาะสมของแต่ละท่าน ไม่จำเพาะเจาะจงว่า จำเป็นต้องเดินทางขับรถ
ไปออกกำลังกายตามสถานที่ออกกำลังกายหรือโรงยิมต่างๆ  เพียงแบบเดียว
มันสามารถรวมถึง การที่เราได้ออกไปเดินเล่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ตามสวนสาธารณะต่างๆ
หรือสวนหย่อมของหมู่บ้าน แม้แต่พื้นที่ภายในบริเวณบ้านของเรา ถ้ามีพื้นที่พอ
ภายในกรอบเวลาที่สมควรซึ่งไม่มากไม่น้อยไปนัก
อาทิเช่น ไม่น้อยกว่า 45 นาทีในแต่ละครั้ง  และอาทิตย์ละ 3-4 ครั้ง

บ้านที่เราพักอาศัยอยู่นี้ ก็เป็นสถานที่ที่หนึ่งสามารถสร้างงานอดิเรกประจำวันต่างๆ
ที่ไม่ซ้ำกันได้ สำหรับท่านในวัยเกษียณให้สามารถใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ได้มาก

ผู้เขียน หมายถึง งานดูแลรักษาทำความสะอาด ปัดกวาด จัดบ้านช่องให้น่าอยู่ งานตัดแต่งสวน
และต้นไม้  หรือถ้าหากท่านพร้อมที่จะเรียนรู้ ท่านจะพบว่า มีงานช่างซ่อมแซมสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ
ภายในบ้านรอท่านทำอยู่เยอะแยะไปหมด

ขอยกตัวอย่างเช่น  คุณแม่บ้านของท่านอาจจะเคยบ่นกับท่านว่า ก๊อกน้ำของอ่างซิ้งค์ในห้องครัวปิดได้ไม่สนิท จะมีน้ำหยดตลอดเวลา เป็นการสิ้นเปลืองน้ำ  ขณะที่ท่านยังไม่เกษียณไม่มีเวลา ท่านอาจเรียกตามช่างมาแก้ไข ซึ่งบางครั้งช่างประปาเค้าก็ไม่มาทันที หรือไม่มาเอาเสียเลย เพราะพวกช่างมักจะออกตัวว่า ตัวงานจำพวกนี้มันเล็กน้อยเกินไป ไม่คุ้มค่าเดินทางอะไรทำนองนี้

คราวนี้ท่านก็ว่างมีเวลาแล้วตอนนี้ ทำไมไม่ลองแก้ไขซ่อมแซมอะไรอะไรในบ้านด้วยตัวเองล่ะ
อ้นพวกงานซ่อมแซมอุปกรณ์สิ่งของต่างๆ ภายในบ้าน ไม่ใช่เรื่องยากเย็นเกินความสามารถและพลังสมองของท่านอย่างแน่นอน  ขอเพียงแต่ท่านพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ถึงวิธีการทำงาน และวิธีใช้เครื่องมือซ่อมแซมต่างๆ ซึ่งปัจจุบันข้อมูลความรู้ต่างๆ พวกนี้ มีแทบจะทุกเรื่องเพรียบพร้อมอยู่
บนโลกอินเตอร์เน็ท ที่ท่านสามารถที่ค้นหาและศึกษาได้จาก Google หรือไม่ก็ Youtube ได้

เพียงแค่นี้ จากการที่ท่านได้ฝึกใช้สมองทำในสิ่งใหม่ๆ ท่านก็สามารถลดความเสี่ยงของ
โรคอาการสมองเสื่อมได้แล้ว

และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ท่านจะได้รับความชื่นชมจากคุณแม่บ้านเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งท่านผู้สูงวัย
ทุกท่านก็ทราบดีว่า ความชื่นชมของคุณแม่บ้านสุดที่รักของท่านนั้นไม่เคยมอบให้ท่านง่ายๆ
และครั้งนี้ก็ไม่ใช่จะได้มาเพราะโชคช่วย แต่เกิดจากฝีมือบวกความสามารถของท่านล้วนๆ

นอกจากการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอแล้ว อาหารก็เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันภาวะสมองเสื่อม

จากข้อมูลทางการแพทย์ในปัจจุบัน  อาหารเช้าเป็นอาหารมื้อสำคัญของแต่ละวัน ดังนั้นเราท่าน
ทั้งหลายจึงไม่ควรอดอาหารเช้าเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับท่านผู้สูงอายุ ควรจำกัดปริมาณอาหารจำพวกแป้ง ไขมัน และของหวาน ในแต่ละมื้อ
ควรรับประท่านอาหารต่างๆ ให้ครบ 5 หมู่ อาจต้องเน้นพวกผักและผลไม้ให้มากขึ้น เพื่อช่วยระบบขับถ่าย

การมีจิตใจที่ไม่เบิกบาน เศร้าสร้อย ห่อเหี่ยว เป็นทุกข์ อยู่เสมอ จะทำให้เซลล์สมองที่ทำหน้าที่บันทึก
ความจำ หรือสมองส่วนฮิปโปแคมปัส กลับฝ่อลง เป็นสาเหตุทำให้ความจำใหม่ๆ ไม่เกิดขึ้น

ถ้าปรับอารมณ์ที่เป็นด้านลบเหล่านี้ได้เร็ว เจ้าเซลล์สมองที่กำลังจะฝ่อก็จะสามารถกลับมาดีดังเดิมได้
แต่หากปล่อยให้มีอาการเศร้า หดหู่ หรือเป็นทุกข์นานๆ เซลล์สมองเหล่านี้ก็จะตายไปไม่กลับมาอีก
คือ สมองส่วนนั้นจะฝ่อถาวรไปเลย  เข้าสู่ภาวะสมองเสื่อมอย่างช้าๆ แบบที่พวกเราหวาดกลัว

ก่อนจบ ขออวยพรให้เพื่อนผู้สูงวัยทุกท่าน จงมีสุขภาพกาย สุขภาพใจที่ดีสมบูรณ์ตลอดไปนะครับ

ส่วนตัวผู้เขียนเอง ว่า ต้องขอตัวไปเปลี่ยนหัวก๊อกน้ำของอ่างล้างมือซะหน่อย  พอเสร็จงานนี้แล้ว
ว่าจะซ่อมเครื่องตัดหญ้าต่อ  และหากยังมีเวลาเหลือ  อาจจะดูหลอดไฟในห้องเก็บของด้วย
มันไม่สว่างมาหลายวันแล้ว ถ้ามีเวลาเหลืออีกก่อนมื้อค่ำ ล้างรถเป็นรายการสุดท้ายก่อนเข้านอน

เพียงแค่นี้ ผู้เขียนก็มีอะไรทำทั้งวันไม่เบื่อแล้ว.....
ส่วนพรุ่งนี้ ค่อยคิดหาอะไรทำใหม่


ผู้สูงอายุที่มีอารมณ์ดีเป็นสุขอยู่เสมอ ลดความเสี่ยงเป็นโรคสมองเสื่อม



วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2559

10 สัญญาณที่บ่งบอกอาการสมองเสื่อม

ท่านผู้สูงอายุที่อยู่ในวัยเกษียณมานานบางท่าน อาจจะเริ่มหรือกำลังเบื่อในการใช้ชีวิตประจำวันที่มองดูโดยรวมว่า มันช่างซ้ำซาก และจำเจ  กิจวัตรประจำวันส่วนใหญ่ ประกอบด้วยการออกกำลังกายเดินเหิน อ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง ทำสวน เลี้ยงหลาน และพบปะสังสรรค์เพื่อนเก่าบ้างในบางครั้ง

ท่านทราบหรือไม่ว่า ทุกอย่างที่ท่านปฏิบัติประจำวันอยู่นั้น ไม่ว่ามันจะดูธรรมดา ราบเรียบ ไม่มีอะไรใหม่ให้น่าตื่นเต้นนั้น ล้วนแต่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของตัวท่านทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อการทำงานที่เป็นปรกติของสมองของผู้สูงวัย

โรคภัยไข้เจ็บที่ผู้สูงวัยส่วนมากต้องเฝ้าระวังตัวเองและเป็นที่รู้จักกันดี ก็จะมีโรคความดันสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคระบบทางเดินหายใจ โรคระบบทางเดินอาหาร และโรคมะเร็งต่างๆ

แต่ก็ยังมีอีกโรคหนึ่งที่ผู้คนอาจจะให้ความสำคัญน้อยกว่าโรคที่กล่าวมาข้างต้น ทั้งๆ ที่โรคนี้มีโอกาสจะเกิดขึ้นกับท่านผู้สูงอายุได้ไม่น้อย และสามารถเป็นได้แบบไม่รู้ตัว อาการจะค่อยเป็นค่อยไปจนตัวเองหรือคนข้างเคียงไม่อาจรู้หรือไม่ทันสังเกตได้  กว่าจะรู้ว่า ตัวเองกำลังเริ่มต้นจะมีอาการ โรคนี้ก็ได้พัฒนาไประดับหนึ่งแล้ว จนตัวเองหรือบรรดาเหล่าญาติๆ อาจจะตั้งตัวไม่ทัน

โรคที่ว่านี้ก็คือ  โรคสมองเสื่อม หรือ ภาวะสมองเสื่อม (Dementia)

ภาวะสมองเสื่อม เป็นคำรวมๆ ที่ใช้เรียกโรคที่เกี่ยวกับการเสื่อมถอยของเซลล์สมองที่จะทำให้ความทรงจำของเราค่อยๆ สูญหายไป พวกเราอาจจะรับรู้ถึงความร้ายแรงของโรคนี้จาก 2 โรคที่รู้จักกันดี คือ โรคพาร์กินสัน กับโรคอัลไซล์เมอร์  ซึ่งถ้ามันบังเอิญโชคร้ายจะเกิดขึ้นกับท่านผู้ใดแล้วล่ะก็ เรียกได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นโรคไหน มันก็แย่พอๆ กันทั้งสองโรค 

ผู้เขียน ซึ่งก็เป็นผู้สูงวัยคนหนึ่ง ต้องขอออกตัวว่า ไม่ใช่แพทย์  ดังนั้นข้อมูลต่าง ๆ ที่จะเล่าสู่กันฟังต่อไปนี้ เป็นข้อมูลทางวิชาการที่ได้ค้นคว้ามาจากแหล่งความรู้ต่างๆ  หากมีข้อความผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยต่อท่านผู้อ่านล่วงหน้ามา ณ ที่นี้

เรามาเริ่มต้นที่ 10 สัญญาณที่บ่งบอกอาการสมองของเราอาจกำลังเริ่มมีปัญหา (ข้อมูลจากนสพ. ผู้จัดการ INFO):-

1)   การสูญเสียความทรงจำในระยะสั้น ที่กระทบต่อการทำงาน
เช่น เมื่อวาน ตัวเองเคยตกลงกับลูกค้าเรื่องหนึ่งไว้ แต่พอวันต่อมา ก็ไม่ได้ทำตามข้อตกลงนั้นเฉยเลย เพราะตัวเองจำไม่ได้ว่าได้เคยสัญญิงสัญญาอะไรไว้  ลองถ้าเป็นแบบนี้กับเจ้าของกิจการ และเป็นเรื่องใหญ่ ธุรกิจต้องพลอยเสียหายมากอย่างแน่นอน บริษัทนั้นๆ เตรียมตัวเจ๊งได้เลย
2)   สิ่งที่เคยทำเป็นประจำ เริ่มทำไม่เป็น
เช่น เคยทำงานสิ่งหนึ่งได้เป็นประจำปรกติ  แต่แล้วอยู่ๆ ก็ทำไม่ได้ไปซะแล้ว เกิดจำไม่ได้ว่า เคยทำมันได้อย่างไร  แบบนี้มันก็ชักจะยุ่งอีกเหมือนกัน
3)   ปัญหาด้านภาษา เลือกคำพูดไม่ค่อยถูก
เคยพูดคล่องแคล่วต่อสาธารณะ มีสำนวนโวหารดีจนใครๆ ฟังก็ชื่นชม แต่ต่อมาความสามารถในการแสดงออกทางคำพูดค่อยๆ สูญหายไป  เมื่อจะเล่าเหตุการณ์อะไร ก็มักนึกคำพูด หรือประโยคสนทนาไม่ค่อยได้คล่องเหมือนอย่างเคย
4)   ไม่รู้เวลาและสถานที่
สับสนเรื่องเวลาว่า ตอนนี้มันกี่โมงกี่ยาม เป็นกลางวันหรือกลางคืน  หรือเกิดงงว่า ตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ที่ไหน หรือกำลังจะไปไหน ถ้าเกิดเป็นแบบนี้ อาการน่าจะหนักแล้วพอควร
5)   สูญเสียการตัดสินใจ
ตัดสินใจไม่ได้ แม้แต่เรื่องเล็กๆ ว่า ควรจะทำอะไรก่อนอะไรหลัง หรือจะทำไม่ทำอะไร
6)   ไม่ค่อยเข้าใจความคิดที่เป็นนามธรรม
ทำนองว่า ใครพูดเรื่อง ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ หรือ มีคำว่า บูรณาการอยู่ทุกประโยค ชักจะฟังไม่เข้าใจ ข้อนี้ อาจจะเป็นธรรมดา สำหรับคนไทยในยุคหนึ่ง
7)   วางของผิดที่ แบบแปลกๆ
เช่น เอากุญแจรถไปวางเก็บในตู้เย็น  อันนี้ จะต่างกับแบบที่พวกเราเป็นกันประจำ เช่น หากุญแจรถไม่เจอ เพราะไปวางผิดที่จากที่เคยวาง เช่น เคยวางบนโต๊ะ กลับมาพบว่า มันอยู่บนชั้นวางของ  ทั้งโต๊ะและชั้นวางของไม่ถือว่า เป็นที่วางแปลกๆ  แต่ในตู้เย็นนี่ล่ะก็ใช่แน่ เพราะไม่มีใครจะเอากุญแจรถไปใส่ในตู้เย็น ถ้าไม่เมาสุดๆ
8)   อารมณ์หรือพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง
เดี๋ยวอารมณ์ดี  เดี๋ยวอารมณ์ร้าย ฉุนเฉียว แบบไม่ค่อยมีเหตุผล แต่ถ้าเดิมก็เป็นคนแบบนี้อยู่แล้ว ก็ไม่อยู่ในเกณฑ์ 
9)   บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลง
เคยต้องแต่งตัวเนี๊ยบก่อนออกจากบ้าน  มาตอนนี้ กลับแต่งตัวลวกๆ แบบซกม๊กไม่แคร์ใคร 
10) สูญเสียความคิดริเริ่ม
ไม่สามารถจะคิดริเริ่มในการทำงานอะไรได้  ทั้งที่ ก่อนหน้านี้ต้องแย่งเป็นผู้นำเพียงอย่างเดียวในทุกเรื่อง จะชิงแย่งคนอื่นทำงานสำคัญๆ ก่อนเสมอ

อย่างไรก็ดี ผู้เขียนคิดว่า 10 สัญญาณข้างต้น  จะถือเป็นข้อสรุปชี้ขาดไม่ได้ว่า  ถ้าท่านเกิดบังเอิญมีอาการตรงกับข้อหนึ่งข้อใด หรือหลายๆ ข้อ ท่านต้องมีอาการสมองเสื่อมแน่นอน  ผู้ที่จะสามารถวินิจฉัยโรคของผู้ป่วยอย่างถูกต้อง ควรต้องเป็นแพทย์เฉพาะทางเท่านั้น  โดยหลักเกณฑ์ทางการแพทย์ที่ละเอียดมากกว่านี้

(ยังมีต่อครับ)