วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555

ยางยี่ห้อ NIKA รุ่น avatar (ภาคต่อ)

หลังจากที่ยางรุ่น avatar ทั้ง 4 เส้นได้วิ่งไปเกือบ 20,000 กม.
(ตัวเลขจริง 17,690 กม.)
นับตั้งแต่วันที่เริ่มบททดสอบครั้งแรกในเดือนเมษายน ปีนี้
บัดนี้ นับเป็นเวลานานกว่า 6 เดือน
เราลองมาดูกันซิว่า เจ้ายางยี่ห้อนี้ทั้งสี่เส้น มีสภาพล่าสุดกันอย่างไร

เรามาเริ่มกันที่ดอกยางก่อน  ก้มมองดูพบว่า ร่องยางทั้งสี่เส้นยังอยู่ในสภาพดี
ไม่สึกหรือมีความเปลี่ยนแปลงมากจนพอจะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน


และเนื้อยางยังอ่อนนิ่มเหมือนเมื่อยังเป็นของใหม่

ตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา
ยางทั้งสี่เส้นได้ผ่านการใช้งานครบถ้วนทุกพื้นผิวถนนและทุกสถานการณ์ 

มีทั้งการเหยียบเบรคอย่างกระทันหัน เพื่อให้หลบพ้นการอุบัติเหตุ
ผ่านการวิ่งบนพื้นถนนแห้งหรือเปียกลื่นที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำ
บนถนนราดยาง คอนกรีต ทั้งเรียบหรือไม่เรียบ
ลุยบนเส้นทางขรุขระเป็นลูกรัง หรือเป็นโคลน

ในฐานะของผู้ใช้งาน สามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากว่า

ยางยี่ห้อนี้ยังทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์ 
ยังคงรักษาความนุ่มนวลในการขับขี่ได้อย่างคงเส้นคงวา
การบังคับเลี้ยว หรือการเกาะถนนยังสร้างความรู้สึกได้เหมือนวันแรกของมัน
แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะกล่าวสรุปสั้นๆว่า ใช้งานได้คุ้มค่าเกินราคา

และแน่นอน คำกล่าวที่ว่า ของถูกไม่มี ของดีต้องแพง อาจจะใช้กับ
กับยางยี่ห้อ NIKA รุ่น avatar นี้ไม่ได้
เพราะของดีไม่แพง ยังเหลืออยู่บ้างในโลกของยางรถยนต์
หรือสินค้าตัวอื่น ๆ ถ้าผู้บริโภคใคร่จะแสวงหาข้อมูลจากผู้ใช้ท่านอื่น ๆ
และจากแหล่งข้อมูลอื่นเพื่อนำมาเปรียบเทียบด้วยหัวใจเป็นกลาง

                                          (บทความโฆษณาต่อเนื่อง)

สถานการณ์น้ำ"แฉะ"ที่จังหวัดสุโขทัย

หลังจากขับรถมาตลอด 5 ชม. โดยไม่ต้องนอนพัก (คนขับนะครับที่
ไม่ได้พัก แต่สำหรับน้องสาวผู้ร่วมเดินทางนั่งข้างแล้วรู้สึกว่า
เค้าจะได้นอนมากกว่าอยู่ที่บ้าน)
พวกเราก็มาถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย คือ เทศบาลเมืองสุโขทัย
...ธรรมาธิราศ เอ๊ย  สุโขทัยธานี ในตอนเช้ามืดตึห้ากว่า ๆ

น้ำท่วมบนถนนต่าง ๆ ได้ลดลงไปมากจนเกือบแห้ง เมื่อเรามาถึง
ยังเหลือแต่เศษขยะต่าง ๆ ที่ติดค้างอยู่ตามข้างทาง

ปรากฎว่า เมื่อคืนก่อนที่พวกเราจะเดินทางมาถึง ทางราชการได้ระดม
เครื่องสูบน้ำ 60 ถึง 80 ตัวไล่สูบน้ำออกเมื่อตอนสี่ทุ่ม
หลังจากที่ได้แก้ปัญหาน้ำไหลทะลักเข้ามาในกลางตัวเมือง บริเวณตลาดได้

บริเวณที่ทำงานของน้องยังแห้งกริ๊บ ทั้งที่อยู่ตรงข้ามกับพนังกั้นน้ำ
ริมแม่น้ำยมที่ยาวตลอดแนวสูงประมาณเมตรกว่า ๆ และระดับน้ำ
ในแม่น้ำเองก็สูงปริ่ม ๆ ระดับความสูงของพนัง มองดูหวาดเสียว
เป็นยิ่งนัก ถ้าน้ำสูงเกินพนังก็เป็นอันจบเห่ น้ำท่วมทันทีทั้งตัวเมือง

ส่วนรถยนต์ของน้องที่คาตว่า ต้องมากู้ขึ้นจากน้ำ ก็มีอาสาสมัครช่วยยกรถ
ขึ้นวางบนแผ่นอิฐที่รองเป็นชั้น ๆ จนสูงมากกว่าระดับน้ำที่เข้ามาบริเวณ
โรงจอดรถ จนพ้นขีดอันตรายไปแล้ว ต้องถือว่า มันได้รอดชีวิตอย่างหวุดหวิด
เหตุการณ์ไม่เหมือนกับเจ้ารถคันก่อน พี่ชายของมันที่ต้องตายสนิทหมดสภาพ
ความเป็นรถยนต์ไปเลยจากน้ำท่วมเมื่อปีกลายที่ท่วมสูงมาก
จนเกือบถึงหลังคารถ ที่บ้านแถวๆ ถนนรังสิต-ปทุมธานี

เท่าที่ได้ฟังจากคนพื้นที่ น้ำท่วมที่จังหวัดในลักษณะนี้ (ซึมจากพื้นดินเข้าระบบท่อ
ระบายน้ำภายในตัวเมือง) จะเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำอยู่แล้วทุกปี  ดังนั้นระดับน้ำ
ที่ท่วมเข้าทะลักเข้ามาในตัวเมืองจะมีระดับความสูงไม่มากนัก






 ท่านปลอดประสพ สุรัสวดี ได้สร้างคำนิยามใหม่ใช้เรียกขานลักษณะน้ำท่วมที่ยังสูง
ไม่มากเยี่ยงนี้ว่า เป็น"น้ำแฉะ"  ต่อเมื่อน้ำท่วมสูงมิดถึงหลังคาบ้านเมื่อใด จึงจะ
สามารถเรียก "น้ำท่วม"ได้อย่างเต็มปาก จึงขอเรียนชึ้แจงให้ท่านทั้งหลายได้ทราบ
เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน (สำนวนของท่านนักการเมืองอาวุโสท่านหนึ่ง)

วันต่อมา เมื่อเหตุการณ์วิกฤติผ่านไปและพอจะมีเวลาว่างบ้าง น้องสาวของเรา
ในฐานะเจ้าถิ่นได้พาไปเที่ยวอุทยานประวัติศาตร์สุโขทัย ซึ่งอยู่ไม่ไกลนักจากที่พัก








           เมื่อทุกอย่างได้จบลงด้วยดี ได้วางแผนกันว่า ผู้เขียนจะเดินทางกลับเพื่อ
นำรถที่ยืมมาไปคืนเจ้าของรถโดยออกเดินทางในตอนเช้าของวันอาทิตย์ 
แต่เมื่อใกล้จะถึงเวลาออกเดินทาง ก็เกิดมีข่าวสร้างความแตกตื่นสยองขวัญขึ้นมา
อีกรอบว่า น้องน้ำได้เข้าท่วมครั้งใหม่ที่บริเวณตลาดกลางตัวเมือง ณ จุดเดิมอีก
เพราะแม่น้ำยมมีมวลน้ำก้อนใหม่ไหลผ่านตัวจังหวัดสุโขทัยจากจังหวัดแพร่
จึงทำให้ระดับน้ำสูงขึ้นมาอีกจนเกือบจะล้นพนังกั้น

         เวลาออกเดินทางต้องถูกเลื่อนออกไป แต่หลังจากมีข่าวแจ้งว่า
คณะทำงานของจังหวัด สามารถอุดรอยซึมน้ำที่เข้ามาในตัวเมืองได้อีกครั้ง
สถานการณ์ก็ดีขึ้น อย่างน้อยก็ตอนนั้น 

       ผู้เขียนจึงรีบ (เผ่น) ขับรถออกจากสุโขทัยประมาณหลังเที่ยงวัน
ขากลับก็ไม่รู้สึกเหงาและง่วงเลย เพราะมีเพื่อนบ้านแสนดีที่ต้องการจะ
ลงกรุงเทพเพื่อไปเยี่ยมลูกสาว นั่งร่วมเดินทางและคุยไปด้วยตลอดระยะ
ทางยาว 427 ก.ม.  และในที่สุด ก็ถึงกรุงเทพอย่างปลอดภัยประมาณห้าโมงเย็น
หลังจากที่ส่งเพื่อนบ้านท่านนั้นลงแถว ๆ ถนนวัชรพล ก็ขับรถต่อไปบางนา
เพื่อส่งมอบเจ้าของรถได้อย่างเรียบร้อยก่อนเวลาหนึ่งทุ่มตรง

       เป็นอันจบบันทึกการเดินทางและภาระกิจเป้าหมายครั้งนี้ แต่เพียงนี้นะครับ 
       และหวังว่า คงจะไม่ต้องกระทำภาระกิจใหม่เช่นนี้ในเร็วนี้อีกครั้ง....เฮ้อ             


วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

น้ำท่วม น้ำท่วมและน้ำท่วม (อีกแล้ว)

หลังจากที่สถานการณ์น้ำท่วมที่จังหวัดสุโขทัยได้เกิดขึ้นมาหลายวัน
จนมาถึงวันนี้ ดูเหมือนว่า ทางราชการจะควบคุมสถานการณ์ได้
บ้างแล้ว โดยระดับน้ำไม่สูงขึ้นและน่ากำลังจะลดลง จึงเป็นโอกาสดีที่
น้องสาวคนเล็กของเราจะเดินทางกลับไปดูรถของตัวเองซึ่งเพิ่งจะได้มา
ยังไม่เกินครึ่งปีที่จอดทิ้งอยู่ที่โรงจอดรถบ้านพักว่า ยังคงมีชีวิตรอดจากน้ำท่วม
อยู่หรือไม่ ประกอบกับเกิดภาระกิจสำคัญที่จำเป็นต้องกลับไปปรากฏกาย
ณ ที่ทำงานในวันศุกร์ตอนเช้าอีกซะด้วย

และในที่สุดพวกเราสองพี่น้องได้ตัดสินใจออกเดินทางกันในคืนนี้ โดยจะ
ขับรถปิคอัพที่เพื่อนสนิทของน้องเค้าได้ใจกว้างมาก ๆ ให้ยืม ทั้งที่รถคันนี้
ก็เพิ่งจะวิ่งได้เพียงสามพันกว่ากม.เท่านั้น   ต้องขอบอกว่า เจ้าของรถใจถึง
จริง ๆ ที่ให้ยืม  ทั้งๆที่ค่อนข้างแน่ใจว่า รถเองจะต้องผ่านการลุยน้ำลุยโคลน
หนักหนากันแค่ไหน

ขณะนี้เหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งชม. ก็จะถึงเวลาออกเดินทางของพวกเรา
การผจญภัยไปสู่จุดหมายปลายทางที่เรารอคอยกำลังจะเริ่มต้น....

นับจากนี้ไป โชคและกำลังใจ บวกกับประสบการณ์ที่มากมายเหลือเพือ
ที่ได้จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปีที่แล้วล้วน ๆ ที่จะนำเราไปสู่จุดหมายได้
อย่างปลอดภัย

To be continued.....