วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2558

มันมาอีกแล้วครับท่าน.... วันสิ้นโลก 24.09.2015

นับเป็นเวลามานานเกือบร่วมปี ที่ผู้เขียนได้หยุดโพสต์ข้อความลงในบล๊อกส่วนตัวนี้
เพราะไม่มีประเด็นอะไรใหม่ แม้แต่จะเขียนข้อความเชียร์สินค้าเกี่ยวกับยานยนต์

แต่ตอนนี้ มันเกิดมีประเด็นใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับทุกคนบนโลกนี้ คือ เกิดกระแสแพร่กระจายกันมาในโลกโซเชียล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใน YOUTUBE อีกแล้วว่า ดาวเคราะห์ที่เรียกว่า โลกที่พวกเราๆ ท่านๆ อาศัยอยู่นี้ ต้องถึงคราวอวสาน หรือไม่ก็ใกล้เคียงจะสูญสลายไปในช่วงวันที่ 18-24 กันยายน ปีนี้ ซึ่งก็อีกไม่กี่วันนับต่อจากนี้

ฟังแล้ว บางท่านคงอดขำในใจไม่ได้ว่า  ไอ้ความคิดบ้าๆ นี้มันมาอีกแล้ว...

กระแสความเชื่อของผู้คนในสังคมในเรื่อง โลกแตก ได้หดหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลังวันที่ 21.12.2012 สามปีที่แล้ว  เรื่องทั้งหมดที่เฝ้าติดตามกันมาหลายปีหลายเดือนสำหรับคนบางคน กลายเป็นเรื่องของภาพยนตร์ทำเงิน แต่ไม่มีสาระหรือข้อมูลความจริงที่จะมาเฝ้าติดตาม และกล่าวถึงกันอย่างจริงจังอีกต่อไป

แต่แล้ว จู่ๆ ก็เกิดมีคนนำประเด็นนี้มาโพสต์เป็นวิดิโอคลิปขึ้นมาบน YOUTUBE  จากนั้นไม่นานนัก ก็มีผู้ติดตามแชร์ข้อมูลกันอย่างแพร่หลายในวงกว้าง จนบางคลิปมีผู้ชมเป็นล้าน เมื่อไล่เรียงดูเวลาจากคลิปเหล่านี้ จะเห็นว่า เจ้ากระแสความคิดในเรื่องนี้น่าจะเกิดขึ้นไม่นาน น่าจะปลายปีที่แล้ว ต่อจากนั้นก็มีผู้คนมาต่อกระแสความเชื่อด้วยการโพสต์ข้อมูลเพิ่มเติม ทั้งลับและไม่ลับ สัญญานบอกเหตุต่างๆ ทั่วโลก จนนับไม่ถ้วนว่า โลกเราจะประสบกับปัญหาถึงขั้นมหันตภัยวิบัติสิ้นโลกสังคมล่มสลาย ประชากรของโลกล้มตายเป็นจำนวนมาก ในช่วงวันที่ 18 - 24 กันยายน 2015 ซึ่งอันที่จริงแล้ว วันที่เกิดจะเหตุการณ์จริง ต่างก็ว่า น่าจะเป็นหรือไม่เกิน วันที่ 24 กันยายนแน่นอน แหม...ใครหนอ ช่างเก่งกาจสามารถพยากรณ์ได้เจาะจงแม่นยำขนาดนั้น ท่านนอสตราดามุส เองยังไม่กล้าเลย

เอาล่ะ แต่มันก็ดีไปอย่างที่ไม่ต้องรอนานกว่าจะได้พิสูจน์ เพราะเหลือเพียงอีกไม่กี่วันเอง เหล่าบรรดานักพยากรณ์ นักวิทยาศาสตร์ นักวิเคราะห์ นักวิจารณ์ กับผู้ติดตามกระแสข่าวอย่างเราๆ จะได้เห็นว่า มันจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่

ระหว่างนี้ ผู้เขียนได้ลองรวบรวมข้อมูลจาก YOUTUBE ว่า พวกนั้นเค้ามีความเชื่อในเรื่องนี้กันอย่างไรว่า โลกจะเดินทางมาถึงจุดสุดท้ายมหาภัยพิบัติเช่นนั้นในช่วงวันดังกล่าวนี้ มันมีสาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง

ลำดับแรก คือ มันเกิดมาจากการทดลองของคณะนักวิทยาศาสตร์ขององค์กรวิจัยนิวเคลียร์แห่งยุโรป ซึ่งมีชื่อย่อเป็นที่รู้จักกันว่า CERN


CERN คือองค์กรทำอะไร มีความเป็นมาอย่างไร เป็นเรื่องยาว
ผู้เขียนขออนุญาตคัดลอกข้อมูลบางส่วนจาก วิกิพีเดีย จะดีกว่า

องค์การวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป (อังกฤษ: European Organization for Nuclear Research; CERN; ฝรั่งเศส: Organisation européenne pour la recherche nucléaire) เรียกโดยทั่วไปว่า "เซิร์น" เป็นองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศในทวีปยุโรปเพื่อวิจัยและพัฒนาทางด้านนิวเคลียร์ ก่อตั้งเมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2497 โดยมีประเทศสมาชิกก่อตั้ง 12 ประเทศ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์

บทบาทหลักของเซิร์นคือ การจัดเตรียมเครื่องเร่งอนุภาคและโครงสร้างอื่นๆที่จำเป็นต่อการวิจัยด้านฟิสิกส์อนุภาค เซิร์นเป็นสถานที่ทำการทดลองมากมายที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ และยังมีชื่อเสียงในฐานะเป็นต้นกำเนิดของเวิลด์ไวด์เว็บ สำนักงานหลักที่เขตเมแร็ง มีศูนย์คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีอุปกรณ์ประมวลผลข้อมูลที่มีประสิทธิภาพสูงมากเพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลจากการทดลอง และเนื่องจากจำเป็นต้องทำให้นักวิจัยในสถานที่อื่นสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ได้ จึงต้องมีฮับสำหรับข่ายงานบริเวณกว้างอีกด้วย

ห้องควบคุมปฏิบัติการ
ภายในอุโมค์วงแหวนยาว 27 กม.
สำนักงานใหญ่ของเซิร์น ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงเจนีวา ใกล้กับชายแดนฝรั่งเศส-สวิตเซอร์แลนด์ เป็นที่ตั้งของห้องปฏิบัติการนิวเคลียร์ฟิสิกส์ขนาดใหญ่ มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการราว 3,000 คน
อุโมงค์วงแหวนครอบคลุมพื้นที่ของสองประเทศ

ปัจจุบัน เซิร์นได้ติดตั้งเครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่ (Large Hadron Collider - LHC) ภายในอุโมงค์ใต้ดินรูปวงแหวนขนาดเส้นรอบวง 27 กิโลเมตร มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ใต้ดินของประเทศฝรั่งเศส และสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก การติดตั้งได้แล้วเสร็จและได้เริ่มการทดลองมาเรื่อย ๆ หลังจากเดือนกันยายน พ.ศ. 2551

Large Hadron Collider - LHC
               
สำนักข่าวต่างประเทศได้รายงานว่า คณะนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์จากศูนย์วิจัยนิวเคลียร์แห่งยุโรปหรือเซิร์น  ได้เริ่มทดลองยิงอนุภาคโปรตอนเพื่อไขปริศนาหาจุดกำเนิดของจักรวาลหรือเอกภพอีกครั้งหนึ่ง  ท่ามกลางการเฝ้าจับตาสังเกตการณ์จากนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ทั่วโลกกว่า 9,000 คน

ตามรายงานข่าว การทดลองยิงอนุภาคโปรตอนครั้งนี้ นับเป็นครั้งใหญ่ที่สุด มีขึ้นที่อุโมงค์ใต้ดิน บริเวณพรมแดนระหว่างฝรั่งเศสกับสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งลึกลงจากพื้นผิวโลกไปประมาณ 300 - 400 ฟุต ทั้งนี้ การทดลองยิงอนุภาคโปรตอน เริ่มขึ้นเมื่อวันพุธที่ 9 กันยายนที่ผ่านมาในเวลาประมาณ 09.32 น.เวลาท้องถิ่น หรือตรงกับเวลา 14.30 น.ตามเวลาในไทย

โดยนางพาโอลา คาทาพาโน โฆษกหญิงของเซิร์น กล่าวว่า อนุภาคโปรตอนที่ยิงออกไปครั้งใหญ่ที่สุดในโลกครั้งนี้  ถูกยิงจากเครื่อง Large Hadron Collider หรือแอลเอชซี ซึ่งเป็นเครื่องยิงอนุภาคโปรตอน มีลักษณะคล้ายท่อวงแหวนมีขนาดความยาว 27  กิโลเมตร ที่ถูกสร้างขึ้นตามโครงการที่คิดขึ้นเมื่อ  30  ปีที่แล้ว

 เครื่องยิงอนุภาคโปรตอน จะทำหน้าที่เป็นเร่งความเร็วของอนุภาคโปรตอนให้มีความเร็วเท่ากับหรือเกือบเท่ากับความเร็วของแสงวิ่งชนกัน  เพื่อให้เกิดปรากฏการณ์ระเบิดครั้งใหญ่หรือบิ๊กแบง ซึ่งตามสมมติฐานของนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ เชื่อว่า ปรากฏการณ์บิ๊กแบงนี้จะก่อให้เกิดวิวัฒนาการต่างๆ รวมทั้งวิวัฒนาการของเอกภพหรือจักรวาลด้วย

ขณะเดียวกัน ทางด้านนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ต่างพากันแสดงความหวั่นวิตกว่า การทดลองครั้งนี้จะส่งผลทำให้เกิดหลุมดำแม้เพียงขนาดเล็ก แต่ก็สามารถดูดกลืนวัตถุรอบ ๆ และขยายตัวใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งตัวโลกของเราเอง หรือจักรวาลทั้งหมดที่มีอยู่ ก็สามารถถูกดูดกลืนเข้าไปได้ภายในพริบตาด้วยความเร็วของแสง ซึ่งนายเจมส์ กิลเลส หัวหน้าคณะโฆษกของเซิร์น ออกมาตอบโต้ว่า ความหวั่นวิตกดังกล่าว เป็นเรื่องที่เหลวไหล

เป็นยังไงบ้างครับ ฟังแล้วมันน่าสยดสยองอยู่ไม่น้อย แต่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ (ถ้ามันเกิดขึ้นจริงนะครับ) จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทันใจจนไม่มีมนุษย์ผู้ใดสามารถแก้ไขหรือทำอะไรได้เลย มันเป็นหายนะชนิดไร้ซึ่งความทรมานหรือเจ็บปวด นับเป็นจุดจบของโลกและมนุษย์ชาติแบบเจ๋งจริงๆ

หลุมดำที่ดูดกลืนกินทุกอย่างแม้แต่แสง
ลำดับต่อไป สิ่งที่กำลังจะมาทำลายล้างโลกได้ ก็คือ เจ้าดาวนิบิรู Nibiru หรือ ดาวเคราะห์ X วายร้ายเจ้าเก่าของภาคที่แล้ว ที่ว่าจะโคจรมาใกล้โลก เมื่อตอนวันที่ 21.12.2012 นั่นเอง สำหรับผู้ติดตามในเรื่องนี้คงยังจำกันได้



แต่แล้วพอถึงวันที่ 21 ธันวาคม 2012 เข้าจริง ๆ  เจ้าดาวนิบิรูกลับไม่โผล่มาให้เห็นเลย สังคมก็เลยสรุปว่า มันไม่เคยมีอยู่จริง ทางองค์การนาซ่าเอง ก็ไม่เคยบอกหรือยืนยันอย่างเป็นทางการเลยว่า มีดาวดวงนี้อยู่ในสารบบดาวใด ๆ มาก่อน  แต่ระนั้นก็ดี ยังมีผู้คนพากันเชื่อได้เชื่อดีว่า มันต้องมีอยู่จริง

หนนี้มันกลับมาอีกแล้วสำหรับผู้ที่ยังคงเชื่อว่ามันมีอยู่  ขณะนี้มันได้โคจรเข้ามาในระบบสุริยะของเรา และพอมาถึงระยะที่ใกล้กับโลก แรงดึงดูดอันมหาศาลของมัน (ดาวนิบิรู ใหญ่กว่าโลกถึง 4-5 เท่า) จะส่งผลให้แรงโน้มถ่วงของโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง  จะทำให้ขั้วแม่เหล็กโลกสลับเปลี่ยนขั้ว หรือทำให้โลกหมุนช้าลง จนถึงหยุดหมุนรอบตัวเอง ซึ่งจะก่อให้เกิดความแปรปรวนทางภูมิอากาศทั่วโลก อาทิเช่น ซุปเปอร์พายุหมุนกำลังแรง หรือน้ำท่วมใหญ่ ภาพเหตุการณ์ที่เลวร้ายสุดๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ก็คือ มันโคจรพุ่งชนโลกเราอย่างตรง ๆ อันนี้ไม่ต้องใช้จินตนาการใดๆเลยว่า โลกและเหล่ามนุษย์ที่อาศัยอยู่จะจบลงเอยกันอย่างไร




ในขณะที่ก็เหลือเวลาอีกไม่กี่วัน แต่กล้องโทรทรรศ์ดูดาวต่าง ๆ ทั้งบนโลกและในอวกาศเช่น กล้อง Hubble กลับยังมองไม่เห็นการมาของมันใกล้โลกเลย  ดังนั้น ผู้เขียนว่า ความหายนะรายการนี้น่าจะตกอยู่ในอันดับที่เป็นไปไม่ได้อย่างที่สุด

อันดับต่อมาอีก ก็เป็นการพุ่งชนโลกของลูกอุกกาบาตขนาดใหญ่ อันนี้มาสไตล์ภาพยนตร์เรื่อง Deep Impact ดังนั้น ผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นใด ก็ไม่ต้องเสียเวลาสาธยายมาก


มหาสมุทรทั่วโลกจะเกิดคลื่นซูนามิระดับสูงหลายร้อยเมตรโถมเข้าฝั่งทวีปต่างๆ เมืองทุกเมืองที่ตั้งอยู่ชายฝั่งทวีปกลายไปเมืองใต้บาดาลในทันที สร้างความเสียหายต่อมนุษยชาติและสรรพสิ่งสุดคณานับ

บางข้อมูลก็ว่า ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นเป็นวันสิ้นโลกในช่วงเวลาดังกล่าว ก็จะเกิดภัยสงคราม หรือจราจล ระดับภูมิภาค อันสืบเนื่องมาจากการล้มสลายทางเศรษฐกิจของประเทศผู้นำโลก อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา รัสเซีย ไม่ก็จีน หรือบางประเทศในกลุ่มอียู  หายนะรายการนี้มาแนวเศรษฐกิจการเงิน และการเมือง มิใช่แนววิทยาศาสตร์แต่อย่างใด  ซึ่งจะว่าไปแล้ว มันก็มีความเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน  แต่ในความคิดเห็นส่วนตัวแล้ว มันไม่ยังน่าจะเกิดขึ้นในเวลาช่วงนี้ ถ้าภายในอีกปีสองปีล่ะก็อาจไม่แน่เหมือนกัน


นอกจากสาเหตุต่าง ๆ ที่จะนำการล่มสลายแตกดับของโลกที่ได้พูดมาแล้วข้างต้น ยังมีเหตุปัจจัยอื่นๆ อีก เช่น เกิดสงครามโลกครั้งที่สาม ที่ผู้ตั้งตัวเป็นนักพยากรณ์ พากันทำนายและแชร์ความเชื่อของตนบน YOUTUBE

เป็นอีกครั้งหนึ่งที่พวกเราจะมาลองนับถอยหลังวันสิ้นโลกภายในวันที่ 24 เดือนนี้กันดู เพราะไม่มีอะไรต้องเสีย อีกทั้งก็ไม่นานเกินรอ

ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกเหมือนคราวที่แล้วหลังวันที่ 21.12.2012  เหล่าพวกนักพยากรณ์ทั้งหลายก็คงไม่รู้สึกหน้าแตกอะไร คงพาออกมาแก้ตัวด้วยมุขเดิม ๆ ว่า วันสิ้นโลก ที่ยังไม่เกิดขึ้น ก็เพราะเหตุผลนานับประการ หรือไม่ก็ไม่พูดอะไร แต่จะเลื่อนกำหนดวันสิ้นโลกออกไปใหม่เรื่อย ๆ  แต่คราวนี้ ความเชื่อของผู้คนในประเด็นโลกสูญสลาย น่าจะจุดประเด็นไม่ติดอีกต่อไป  ถ้าไม่อย่างถาวร อย่างน้อยก็สักช่วงระยะเวลาหนึ่ง