วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555

21.12.2012 วันโลกาวินาศ (บทสรุป)

มาถึงวันนี้เป็นวันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม และวันสิ้นโลก หรือวันโลกาวินาศ 21 ธันวาคม
ค.ศ. 2012 ก็ได้ผ่านพ้นเกินไป 24 ช.ม. แล้ว โดยไม่มีเหตุภัยวิบัติใดๆ เกิดขึ้นอย่างที่คาดการณ์
หรือหวาดกลัวกันเลย

หลาย ๆ คนที่เชื่อในเรื่องนี้ คงได้โล่งอกโล่งใจว่า ชิวิตทั้งหลายได้อยู่รอดปลอดภัยแล้ว

แต่บางคนที่เป็นลูกหนี้ธนาคารหรือบัตรเครดิต อาจจะรู้สึกผิดหวังเล็ก ๆ ที่ยังไม่พ้นสภาวะการเป็น
หนี้อย่างง่าย ๆ ถ้าหากสมมุติ เกิดอหันตภัยวิบัติรุนแรงถึงขั้นระบบการเงินการธนาคาร
ต้องล่มสลาย สถาบันการเงินทุกแห่งไม่สามารถดำเนินธุรการทางการเงินได้อีกต่อไป
ทั้งประวัติเจ้าหนี้ และลูกหนี้ต้องสูญหายไปหมด ถือเป็นการได้โชคสองชั้น คือ
รอดตายจากภัยวิบัติและได้ปลดหนี้ไปด้วย

อีกครั้งหนึ่งที่พิสูจน์ว่า มนุษย์เราส่วนมากช่างอ่อนไหวในความคิดความเชื่อเสียเหลือเกิน
ผู้คนพร้อมที่จะเชื่อหรือติดยึดกระแสความคิดในเรื่องหนึ่งเรื่องใดได้อย่างง่าย ๆ
โดยไมหยุดคิดพิจารณาไตร่ตรองทบทวนถึงความเป็นไปได้ของมันก่อน 

กระแสความเชื่อในเรื่องวันสิ้นโลก 21.12.2012 เป็นเรื่องหนึ่งที่แสดงเป็นตัวอย่าง
ให้เราได้เห็นได้ชัด

ความคิดเห็นทางการเมืองในการชื่นชมยกย่องสรรเสริญนักการเมือง หรือพรรคการเมืองใด
ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งสำหรับประชาชนของประเทศนี้ว่า ผู้คนให้การสนับสนุนพรรคการเมือง
บางพรรค อย่างไม่เปิดหูเปิดตา ไม่เคยพิจารณาดูว่า สังคมกำลังสนับสนุนนักการเมือง
ที่เป็นปัญหา ที่ประพฤติผิดศึลธรรม และที่กำลังปล้นชาติปล้นแผ่นดินอยู่หรือไม่ เฮ้อ...

แน่นอน โลกใบนี้ยังคงดำรงอยู่ต่อไปอย่างที่เคยเป็น รอวันแตกดับกันอีกหน

จะทุกข์จะสุขอย่างไร เราต่างได้เกิดมาแล้วบนโลกใบนี้ ก็ต้องดำเนินชิวิตต่อไป
เพราะฉะนั้น จงหมั่นสร้างแต่กรรมดี ละเว้นกรรมชั่ว ตลอดเวลาที่มียังชิวิตอยู่
ตามที่พระท่านสอนไว้ เป็นการไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต

ถ้าเราจะต้องจากโลกนี้ ในวันนี้หรือพรุ่งนี้ หรือวันต่อไป ๆ เราก็ไม่รู้สึกเสียดาย
อันใด เพราะเราทั้งหลายที่เป็นคนดี สร้างแต่กรรมดี ล้วนพร้อมอยู่ทุกขณะจิตที่
จะจากโลกนี้ไปอย่างสงบ

สาธุ....

ครับ.. บทความนี้ก็จบเอวัง แบบธรรมะธโม นะเช่นนี้






วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

21.12.2012 วันโลกาวินาศ (บทติดตาม)

ในที่สุด เจ้าวันโลกดับ 21 ธันวาคม ปี ค.ศ. 2012 ที่ใคร ๆ บางคนเฝ้ารอและทุกคน
กล่าวขานถึงมาหลายทศวรรษ ก็ได้คืบคลานเข้ามาจนเหลือไม่ถึงอาทิตย์นับจากวันนี้




กระแสความแตกตื่นในเรื่องนี้ที่เมืองไทย ดูจะมีไม่มากนัก
ข่าวทางการเมือง ยังจะสร้างความสนใจให้ผู้คนได้มากกว่าหลายเท่า
แม้ว่าหนังสือพิมพ์บางค่ายจะมีบทความสั้นๆ หรือทีวีเองบางช่องมีสคู๊ปข่าว
เกี่ยวกับความเป็นมาเป็นไปของกระแสความเชื่อในเรื่อง วันโลกดับ 21.12.2012
แต่ก็ไม่ทำให้ผู้คนส่วนมากในประเทศนี้ เพิ่มความสนใจขึ้นอีกสักเท่าใด
เพราะต้องมัวสนใจกับสิ่งใกล้ตัวมากกว่า เช่น ค่าครองชีพที่สูงขึ้น สินค้า
อาหาร อุปโภคบริโภคทุกอย่าง ก็ตั้งหน้าตั้งตาเอาแต่ขึ้นราคากันท่าเดียว

สำหรับในโลกไซเบอร์เอง ทั่วโลกกลับมีกระแสรับรู้เฝ้าระวังอยู่จำนวนมากเหมือนกัน
ดูจากหน้าเวปไซด์และโซเชียลมีเดียต่าง ๆ
เราน่าจะแบ่งกลุ่มผู้คนทั่วโลก ที่มีความเห็นความคิดในเรื่องนี้อยู่ 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

กลุ่มแรก มีจำนวนมากที่สุด อาจจะมากเกิน 95% คือ ไม่เชื่อสักนิดเลยว่า
จะมีภัยพิบัติร้าย ๆ ต่าง ๆ อย่างที่พูดกันเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นสนามแม่เหล็กโลก
พลิกสลับขั้วกลับด้านถึงขั้นน้ำทะเลที่มีอยู่ไหลท่วมพื้นแผ่นดินของโลกส่วนมาก
หรือจะเกิดแผ่นดินไหวระดับ 8-9 ริกเตอร์ จากภูเขาไฟระเบิด
ล้วนที่ก่อให้เกิดความหายนะทุกรูปแบบ ในระดับทำลายล้างเผ่าพันธ์มนุษย์
ให้เหลือประชากรโลกเพียงเศษหนึ่งในสามส่วนของที่มีอยู่ในปัจจุบัน

กลุ่มที่สอง เป็นประเภท "ไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่" ขอแทงกั๊กเอาไว้ก่อนว่า
อาจเป็นไปได้ที่โอกาสของภัยพิบัติเลวร้ายเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ ตามแบบที่ผู้กำกับหนังฮอลลี่วู๊ด
สร้างให้พวกเราดูในภาพยนตร์บันเทิง แต่ผู้คนกลุมนี้ยังไม่ได้ทำอะไร นอกจากรอคอยการมา
ถึงของเหตุการณ์ในวันที่ 21 ธันวาคม หรือไม่ก็วันเดือนปี ต่อ ๆ ไป ถ้ามันบังเอิญจะซวย
เกิดขึ้นมาจริง ๆ ถึงเวลานั้นค่อยมาว่ากันว่า จะหาทางหนีเอาตัวรอดแบบตัวใครตัวมันกันอย่างไร

กลุ่มสุดท้าย มีจำนวนน้อยถึงน้อยที่สุด น้อยจนไม่อาจระบุเป็นเปอร์เซนต์ได้
คือ มีความเชื่อเต็มที่พันเปอร์เซนต์ พวกเค้าเหล่านี้จึงได้มีการเตรียมการเพื่อรองรับสถานการณ์
อันสุดเลวร้ายเอาไว้ล่วงหน้า อย่างเช่น ที่ประเทศจีน มีช่างทำเฟอร์นิเจอร์ ได้สร้างลูกทรงกลม
ทำจากแผ่นเหล็ก ใช้เป็นเรือพาหนะส่วนตัวในทะเลพร้อมอาหารและน้ำดื่มไว้สำหรับตัวเอง
กับครอบครัว และใช้อยู่พักอาศัยตอนน้ำท่วมโลก พอสร้างของตัวเองเสร็จ เหลือเวลาก็เลยสร้าง
เพิ่มขึ้นมาอีกหลายลูก เอาไว้ขายให้เพื่อนบ้านข้างเคียงในตำบล หรือคนอื่นๆ
ที่เชื่อในเรื่องนี้เหมือนกันโดยประกาศขายทางอินเตอร์เน็ท นับเป็นธุรกิจหารายได้เสริม
ที่ไม่เลวนัก ระหว่างนั่งรอเหตุการณ์วันจริงจะมาถึง  แต่ถ้ามันเกิดเหตุการณ์ที่ว่าขึ้นจริง ๆ
เค้าคงจะลืมนึกไปว่า เงินทองเองก็ไม่มีค่าใดๆ อีกต่อไป

เพราะมันก็จะถึงวันนั้นอยู่แล้ว ขอให้พวกเราคอยมาดูกันว่า เช้าของวันที่ 21 ธันวาคม
จะออกมาเป็นอย่างไร
ถ้ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกที่เชื่อก็จะต้องสรรหาเหตุผลมาอธิบายว่า
ทำไมมันถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือจำเป็นต้องเลื่อนวันโลกาวินาศออกไป
ให้ลุ้นอีกเรื่อย ๆ ในปีหน้า 2013 หรือ 2014 หรือไม่


กระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่อง วันโลกแตก หรือวันหน้าแหก
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9550000151452

รอลุ้นระทึก วัน 21.12.2012
http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9550000152037

The Official Website for 21.12.2012
http://www.december212012.com/

สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อเรื่อง วันโลกแตก
http://www.endoftheworld2012.net/

วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555

ยางยี่ห้อ NIKA รุ่น avatar (ภาคต่อ)

หลังจากที่ยางรุ่น avatar ทั้ง 4 เส้นได้วิ่งไปเกือบ 20,000 กม.
(ตัวเลขจริง 17,690 กม.)
นับตั้งแต่วันที่เริ่มบททดสอบครั้งแรกในเดือนเมษายน ปีนี้
บัดนี้ นับเป็นเวลานานกว่า 6 เดือน
เราลองมาดูกันซิว่า เจ้ายางยี่ห้อนี้ทั้งสี่เส้น มีสภาพล่าสุดกันอย่างไร

เรามาเริ่มกันที่ดอกยางก่อน  ก้มมองดูพบว่า ร่องยางทั้งสี่เส้นยังอยู่ในสภาพดี
ไม่สึกหรือมีความเปลี่ยนแปลงมากจนพอจะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน


และเนื้อยางยังอ่อนนิ่มเหมือนเมื่อยังเป็นของใหม่

ตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา
ยางทั้งสี่เส้นได้ผ่านการใช้งานครบถ้วนทุกพื้นผิวถนนและทุกสถานการณ์ 

มีทั้งการเหยียบเบรคอย่างกระทันหัน เพื่อให้หลบพ้นการอุบัติเหตุ
ผ่านการวิ่งบนพื้นถนนแห้งหรือเปียกลื่นที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำ
บนถนนราดยาง คอนกรีต ทั้งเรียบหรือไม่เรียบ
ลุยบนเส้นทางขรุขระเป็นลูกรัง หรือเป็นโคลน

ในฐานะของผู้ใช้งาน สามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากว่า

ยางยี่ห้อนี้ยังทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์ 
ยังคงรักษาความนุ่มนวลในการขับขี่ได้อย่างคงเส้นคงวา
การบังคับเลี้ยว หรือการเกาะถนนยังสร้างความรู้สึกได้เหมือนวันแรกของมัน
แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะกล่าวสรุปสั้นๆว่า ใช้งานได้คุ้มค่าเกินราคา

และแน่นอน คำกล่าวที่ว่า ของถูกไม่มี ของดีต้องแพง อาจจะใช้กับ
กับยางยี่ห้อ NIKA รุ่น avatar นี้ไม่ได้
เพราะของดีไม่แพง ยังเหลืออยู่บ้างในโลกของยางรถยนต์
หรือสินค้าตัวอื่น ๆ ถ้าผู้บริโภคใคร่จะแสวงหาข้อมูลจากผู้ใช้ท่านอื่น ๆ
และจากแหล่งข้อมูลอื่นเพื่อนำมาเปรียบเทียบด้วยหัวใจเป็นกลาง

                                          (บทความโฆษณาต่อเนื่อง)

สถานการณ์น้ำ"แฉะ"ที่จังหวัดสุโขทัย

หลังจากขับรถมาตลอด 5 ชม. โดยไม่ต้องนอนพัก (คนขับนะครับที่
ไม่ได้พัก แต่สำหรับน้องสาวผู้ร่วมเดินทางนั่งข้างแล้วรู้สึกว่า
เค้าจะได้นอนมากกว่าอยู่ที่บ้าน)
พวกเราก็มาถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย คือ เทศบาลเมืองสุโขทัย
...ธรรมาธิราศ เอ๊ย  สุโขทัยธานี ในตอนเช้ามืดตึห้ากว่า ๆ

น้ำท่วมบนถนนต่าง ๆ ได้ลดลงไปมากจนเกือบแห้ง เมื่อเรามาถึง
ยังเหลือแต่เศษขยะต่าง ๆ ที่ติดค้างอยู่ตามข้างทาง

ปรากฎว่า เมื่อคืนก่อนที่พวกเราจะเดินทางมาถึง ทางราชการได้ระดม
เครื่องสูบน้ำ 60 ถึง 80 ตัวไล่สูบน้ำออกเมื่อตอนสี่ทุ่ม
หลังจากที่ได้แก้ปัญหาน้ำไหลทะลักเข้ามาในกลางตัวเมือง บริเวณตลาดได้

บริเวณที่ทำงานของน้องยังแห้งกริ๊บ ทั้งที่อยู่ตรงข้ามกับพนังกั้นน้ำ
ริมแม่น้ำยมที่ยาวตลอดแนวสูงประมาณเมตรกว่า ๆ และระดับน้ำ
ในแม่น้ำเองก็สูงปริ่ม ๆ ระดับความสูงของพนัง มองดูหวาดเสียว
เป็นยิ่งนัก ถ้าน้ำสูงเกินพนังก็เป็นอันจบเห่ น้ำท่วมทันทีทั้งตัวเมือง

ส่วนรถยนต์ของน้องที่คาตว่า ต้องมากู้ขึ้นจากน้ำ ก็มีอาสาสมัครช่วยยกรถ
ขึ้นวางบนแผ่นอิฐที่รองเป็นชั้น ๆ จนสูงมากกว่าระดับน้ำที่เข้ามาบริเวณ
โรงจอดรถ จนพ้นขีดอันตรายไปแล้ว ต้องถือว่า มันได้รอดชีวิตอย่างหวุดหวิด
เหตุการณ์ไม่เหมือนกับเจ้ารถคันก่อน พี่ชายของมันที่ต้องตายสนิทหมดสภาพ
ความเป็นรถยนต์ไปเลยจากน้ำท่วมเมื่อปีกลายที่ท่วมสูงมาก
จนเกือบถึงหลังคารถ ที่บ้านแถวๆ ถนนรังสิต-ปทุมธานี

เท่าที่ได้ฟังจากคนพื้นที่ น้ำท่วมที่จังหวัดในลักษณะนี้ (ซึมจากพื้นดินเข้าระบบท่อ
ระบายน้ำภายในตัวเมือง) จะเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำอยู่แล้วทุกปี  ดังนั้นระดับน้ำ
ที่ท่วมเข้าทะลักเข้ามาในตัวเมืองจะมีระดับความสูงไม่มากนัก






 ท่านปลอดประสพ สุรัสวดี ได้สร้างคำนิยามใหม่ใช้เรียกขานลักษณะน้ำท่วมที่ยังสูง
ไม่มากเยี่ยงนี้ว่า เป็น"น้ำแฉะ"  ต่อเมื่อน้ำท่วมสูงมิดถึงหลังคาบ้านเมื่อใด จึงจะ
สามารถเรียก "น้ำท่วม"ได้อย่างเต็มปาก จึงขอเรียนชึ้แจงให้ท่านทั้งหลายได้ทราบ
เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน (สำนวนของท่านนักการเมืองอาวุโสท่านหนึ่ง)

วันต่อมา เมื่อเหตุการณ์วิกฤติผ่านไปและพอจะมีเวลาว่างบ้าง น้องสาวของเรา
ในฐานะเจ้าถิ่นได้พาไปเที่ยวอุทยานประวัติศาตร์สุโขทัย ซึ่งอยู่ไม่ไกลนักจากที่พัก








           เมื่อทุกอย่างได้จบลงด้วยดี ได้วางแผนกันว่า ผู้เขียนจะเดินทางกลับเพื่อ
นำรถที่ยืมมาไปคืนเจ้าของรถโดยออกเดินทางในตอนเช้าของวันอาทิตย์ 
แต่เมื่อใกล้จะถึงเวลาออกเดินทาง ก็เกิดมีข่าวสร้างความแตกตื่นสยองขวัญขึ้นมา
อีกรอบว่า น้องน้ำได้เข้าท่วมครั้งใหม่ที่บริเวณตลาดกลางตัวเมือง ณ จุดเดิมอีก
เพราะแม่น้ำยมมีมวลน้ำก้อนใหม่ไหลผ่านตัวจังหวัดสุโขทัยจากจังหวัดแพร่
จึงทำให้ระดับน้ำสูงขึ้นมาอีกจนเกือบจะล้นพนังกั้น

         เวลาออกเดินทางต้องถูกเลื่อนออกไป แต่หลังจากมีข่าวแจ้งว่า
คณะทำงานของจังหวัด สามารถอุดรอยซึมน้ำที่เข้ามาในตัวเมืองได้อีกครั้ง
สถานการณ์ก็ดีขึ้น อย่างน้อยก็ตอนนั้น 

       ผู้เขียนจึงรีบ (เผ่น) ขับรถออกจากสุโขทัยประมาณหลังเที่ยงวัน
ขากลับก็ไม่รู้สึกเหงาและง่วงเลย เพราะมีเพื่อนบ้านแสนดีที่ต้องการจะ
ลงกรุงเทพเพื่อไปเยี่ยมลูกสาว นั่งร่วมเดินทางและคุยไปด้วยตลอดระยะ
ทางยาว 427 ก.ม.  และในที่สุด ก็ถึงกรุงเทพอย่างปลอดภัยประมาณห้าโมงเย็น
หลังจากที่ส่งเพื่อนบ้านท่านนั้นลงแถว ๆ ถนนวัชรพล ก็ขับรถต่อไปบางนา
เพื่อส่งมอบเจ้าของรถได้อย่างเรียบร้อยก่อนเวลาหนึ่งทุ่มตรง

       เป็นอันจบบันทึกการเดินทางและภาระกิจเป้าหมายครั้งนี้ แต่เพียงนี้นะครับ 
       และหวังว่า คงจะไม่ต้องกระทำภาระกิจใหม่เช่นนี้ในเร็วนี้อีกครั้ง....เฮ้อ             


วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

น้ำท่วม น้ำท่วมและน้ำท่วม (อีกแล้ว)

หลังจากที่สถานการณ์น้ำท่วมที่จังหวัดสุโขทัยได้เกิดขึ้นมาหลายวัน
จนมาถึงวันนี้ ดูเหมือนว่า ทางราชการจะควบคุมสถานการณ์ได้
บ้างแล้ว โดยระดับน้ำไม่สูงขึ้นและน่ากำลังจะลดลง จึงเป็นโอกาสดีที่
น้องสาวคนเล็กของเราจะเดินทางกลับไปดูรถของตัวเองซึ่งเพิ่งจะได้มา
ยังไม่เกินครึ่งปีที่จอดทิ้งอยู่ที่โรงจอดรถบ้านพักว่า ยังคงมีชีวิตรอดจากน้ำท่วม
อยู่หรือไม่ ประกอบกับเกิดภาระกิจสำคัญที่จำเป็นต้องกลับไปปรากฏกาย
ณ ที่ทำงานในวันศุกร์ตอนเช้าอีกซะด้วย

และในที่สุดพวกเราสองพี่น้องได้ตัดสินใจออกเดินทางกันในคืนนี้ โดยจะ
ขับรถปิคอัพที่เพื่อนสนิทของน้องเค้าได้ใจกว้างมาก ๆ ให้ยืม ทั้งที่รถคันนี้
ก็เพิ่งจะวิ่งได้เพียงสามพันกว่ากม.เท่านั้น   ต้องขอบอกว่า เจ้าของรถใจถึง
จริง ๆ ที่ให้ยืม  ทั้งๆที่ค่อนข้างแน่ใจว่า รถเองจะต้องผ่านการลุยน้ำลุยโคลน
หนักหนากันแค่ไหน

ขณะนี้เหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งชม. ก็จะถึงเวลาออกเดินทางของพวกเรา
การผจญภัยไปสู่จุดหมายปลายทางที่เรารอคอยกำลังจะเริ่มต้น....

นับจากนี้ไป โชคและกำลังใจ บวกกับประสบการณ์ที่มากมายเหลือเพือ
ที่ได้จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปีที่แล้วล้วน ๆ ที่จะนำเราไปสู่จุดหมายได้
อย่างปลอดภัย

To be continued.....



วันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

21.12.2012 วันโลกาวินาศ ?

มาถึงตอนนี้ ผู้คนทั้งหลายทั่วโลก ต่างได้รับรู้ไม่มากก็น้อยถึง เรื่องราววาระสุดท้าย
ของโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ ที่จะเกิดขึ้นภายในปลายปี ค.ศ. 2012 นี้
ไม่ว่าจะเป็นการตีความบนปฎิทินของชาวมายันโบราณกาล หรือคำพยากรณ์ของผู้หยั่ง
รู้อนาคตที่มีชื่อเสียงระดับโลก นอสตราดามุส หรือ โดยการคำนวณของนักดาราศาตร์
การปรากฎตัวทุก ๆ 3,600 ปี ของดวงดาวที่มีชื่อเรียกว่า นิบิรู สัญนิษฐานกันว่า
เป็นดาวเคราะห์ที่ 10 ของระบบสุริยะ จะโคจรเข้ามาเฉียดใกล้โลกของเรามาก
จนสามารถสร้างความปั่นป่วนทางภูมิอากาศและภัยพิบัติทางธรณีต่าง ๆ เหลือคณานับ
ซึ่งปรากฎการณ์ทั้งหมดนี้ต่างจะมาลงเอยกันในวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555
หรือถ้าจะเขียนวันที่ตามแบบฝรั่ง คือ วันที่ 21.12.2012






ข้อมูลทั้งหลายแหล่ที่ผู้คนรับรู้นั้น ส่วนมากได้มาจากภาพยนตร์ฮอลลี่วู๊ด เรื่อง 2012
วันโลกาวินาศ ที่เข้าฉายไปเมื่อปีที่แล้ว


ส่วนใครจะเชื่อว่า เหตูการณ์ที่เลวร้ายอย่างว่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นหรือจะเป็นจริงได้เพียงไร
ก็แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละคน

แต่ดูเหมือนว่า กระแสความสนใจของผู้คนทั่วโลกในเรื่องนี้เริ่มลดน้อยลงมาก ทั้ง ๆ ที่
เหลือเวลาอีกประมาณครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้น พอจะสรุปได้ว่า ผู้คนทั่วโลกส่วนมากไม่
เชื่อว่า วันสุดท้ายของโลกจะเกิดขึ้นในวันดังกล่าว อีกทั้งมนุษย์ทุกผู้ทุกนามต่างก็
ล้วนมีปัญหาส่วนตัวของตนที่ต้องขบคิดกันทุกวี่ทุกวันอยู่จนไม่มีเวลาจะมาคิดเรื่องไกลตัวอื่น ๆ
หรือต่างคนก็อาจคิดว่า ถ้ามันจะบังเอิญเกิดขึ้นจริง ๆ ก็ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้
คงต้องปล่อยไปตามยถากรรม จะดิ้นรนเอาตัวรอดหรือหวาดกลัวไปก็เปล่าประโยชน์

อันที่จริงแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 เป็นต้นมา กระแสความเชื่อในเรื่อง วันสุดท้ายของโลก
ได้มีมาเป็นระยะ ๆ จนเกือบจะแทบทุก ๆ ปี แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทำให้ความเชื่อถือของผู้คนในเรื่องนี้ ได้ถดถอยลดลงไปเรื่อย ๆ
จนกลายเป็นเรื่องไร้สาระที่ใครจะกล่าวถึงไปเลย

โดยความเห็นส่วนตัวแล้ว ในวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555 น่าจะยังไม่มีเหตุการณ์ถึง
ขั้นโลกต้องดับสลายเกิดขึ้น มันคงจะเป็นอีกวันหนึ่งที่ผู้คนทั่วไปดำเนินชีวิตได้ตามปรกติ
ดั่งเช่นวันอื่น ๆ ที่ผ่านมา ข้าวของสินค้าอาหารยังคงมีราคาสูงขึ้นตามค่าครองชีพ
ค่าเช่าบ้านยังต้องจ่าย ค่าผ่อนบ้าน หรือผ่อนรถยังต้องส่งให้ตรงเวลา รถยังติดบนถนน
อีกทั้งพวกนักการเมืองยังสามารถหาเสียงหลอกประชาชนส่วนมากของประเทศนี้
ได้เหมือนเดิม

โลกของเราใบนี้อาจต้องมีวันจบสิ้นลงในที่สุด แต่คงยังจะไม่ใช่ในปี 2012, 2013
หรือในช่วงระยะเวลาสิบปีหรือยี่สิบปีต่อจากนี้

แต่ที่แน่ ๆ ณ อนาคตอันใกล้ การดำรงชีวิตและความเป็นอยู่ของมนุษย์ชาติจะต้อง
ยากลำบากขึ้นอีกมาก อันเป็นผลมาจากจำนวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ กับ
ปัญหาสภาวะโลกร้อนที่รุนแรงเกินจะแก้ไข จะเกิดการแก่งแย่งทรัพยากรทางธรรมชาติ
กันมากขึ้น  จนนำไปสู่สงครามระหว่างประเทศ ขยายตัวเป็นระดับภุมิภาค หรือ
ขยายวงกว้างมากขึ้นกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่สาม ก็เป็นได้


ในสภาพความเป็นอยู่ที่แร้นแค้นเช่นนี้ ผู้คนในสังคมก็จะพากันเห็นแก่ตัวมากขึ้น
คิดแต่จะเอาตัวรอด สังคมอาจต้องล่มสลาย จนทำให้โลกใบนี้จะไม่น่าอยู่น่าอาศัยอีกต่อไป
โดยไม่ต้องรอให้พวกมนุษย์ทำลายมันด้วยสงครามโลกครั้งที่สาม จนไม่เหลืออะไรให้
ชนรุ่นหลังได้อาศัยดำรงชีวิตสืบต่อไปอีก







วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555

ยางรถยนต์ยี่ห้อ NIKA รุ่น avatar

มีใครบางคนเคยกล่าวไว้ว่า ถ้าอยากจะปรับปรุงบ้านเก่าของเราให้ดูดีขึ้นทันที
โดยใช้เงินน้อยที่สุด ให้ทาสีบ้านใหม่
ถ้าอยากจะให้รถเก่าของเราวิ่งดีขึ้นทันที  คล้ายตอนที่มันเป็นป้ายแดง
ให้เปลี่ยนยางใหม่ทั้ง 4 เส้น
ซึ่งผมออกจะเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้อย่างยิ่ง

เพราะนี่เป็นความรุ้สึกของผมทุกครั้งที่ได้เปลี่ยนยางรถยกชุดทั้ง 4 เส้น
ตลอดระยะเวลาที่ใช้รถมานานเกือบ 40 ปี

หลังจากที่ได้เคยใช้ยางมาหลายยี่ห้อ  ระยะสิบปีหล้งมานี่ ผมจมอยู่กับยางรถยนต์ดังยี่ห้อหนึ่ง
ที่เน้นโฆษณาในเรื่องความเงียบเวลาวิ่ง และไม่เคยคิดจะลองไปใช้ยางยี่ห้ออื่นใด ๆ อีกเลย

แต่วันนี้ โชคชะตาฟ้าลิขิต (และสภาพเศรษฐกิจ) ได้นำผมมาพบกับยางรถยี่ห้อหนึ่ง
ที่ผลิตในประเทศ แม้ชื่อเสียงเรียงนามจะไม่คุ้นหู แต่ชื่อรุ่นของมันกลับสะดุดตาผู้คนทันที
เพราะมันน่าเอามาจากชื่อภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ดังเรื่องหนึ่งที่ออกโรงไปเมื่อปีที่แล้ว

เมื่อเห็นยางครั้งแรกตอนรับยางมา ลวดลายของดอกยางสร้างความประทับใจแรกพบทันที
ได้คะแนนบวกในใจจากผมไปไม่น้อย เพราะผู้ผลิตได้ออกแบบลวดลายดอกยางที่มองดูดี
ไม่แพ้ยี่ห้อแพงๆ เลย  ผู้ออกแบบจงใจให้ลายเส้นด้านนอกกับด้านในแตกต่างกัน
น่าจะเป็นเหตุผลในเรื่องการรีดน้ำตอนแล่นบนถนนเปียก กับการเกาะถนนตอนเลี้ยว




โดยไม่ช้าพลัน ผมพาเจ้าน้อง avatar ทั้งสี่มุ่งสู่ร้านขายยางแห่งหนึ่งย่านพุทธมณฑลสาย 4
เพื่อนำไปใส่กับรถนิสสัน นีโอ ปี 2002 พาหนะคู่ใจของผม



พนักงานเปลี่ยนยาง กำลังงงว่า นี่มันยางยี่ห้ออะไรนี่ ไม่เคยเห็นที่ไหน Made in Thailand ซะด้วย


ครึ่งชั่วโมงผ่านไป หลังจากที่ยางทั้งสี่ได้ถูกนำเข้าใส่กับกระทะล้อเดิม ถ่วงยาง และตั้งศูนย์
พร้อมกับเงินในกระเป๋าลดลงไปเก้าร้อยบาทเป็นค่าบริการ  ผมกับเจ้านีโอก็พร้อมที่จะทดสอบกัน

สัมผัสแรกที่ล้อทั้งสี่แตะพื้นเรียบคอ-นก-รีต เอ๊ย คอนกรีต ราดยางของถนนพุทธมณฑลสาย 4
ความรู้สึกดี ๆ ก็หวนกลับมาอีกครั้ง  ฮั่นแน่...

เจ้านีโอ พุ่งทะยานออกไปอย่างนิ่มนวล  รวดเร็วและ....เงียบ   ที่ว่าเงียบนี้
ผมหมายถึง เสียงยางรถที่วิ่งอยู่พื้นถนนไมค่อยจะหลุดลอดเข้ามาในห้องผู้โดยสาร
ไม่ใช่เสียงเครื่องยนต์กำลังทำงานที่ดังกระหึ่มนะครับ เพราะรถเค้าก็อายุอานามร่วมสิบปีแล้ว
จะให้มันเงียบกริบเหมือนพวกรถป้ายแดงได้ยังไงครับคุณพี่ 

ที่ผ่านมา ผมเคยประทับใจในความเงียบทุกครั้งที่ได้เปลี่ยนยางชุดใหม่ยี่ห้อเดิม
และไม่เคยคิดว่า จะได้รับความรู้สึกเช่นนี้กับยางยี่ห้อใด ๆ อีก 
ผมคิดผิด เพราะเจ้า avatar ทั้งสี่ก็สร้างความรู้สึกนี้ได้เช่นกัน เอาคะแนนบวกไปเลย

เมื่อถนนพอจะว่างรถ  ผมไม่รีรอที่จะเหยียบคันเร่งจนมิดเพื่อลองทดสอบยางที่ความเร็วสูงขึ้น
รถค่อย ๆ ไต่ความเร็วขึ้นอย่างช้า ๆ ด้วยความชรา ในที่สุด ที่ความเร็วร้อยยี่สิบกิโลเมตรต่อช.ม.
ในช่วงระยะทางสั้น ๆ รถวิ่งได้เงียบ ยางไม่มีอาการสั่น กับเกาะถนนได้อย่างมั่นคง
แต่การทดสอบของผมจำต้องหยุดอยู่ที่ความเร็วเพียงแค่นี้
เพราะดูเหมือนว่า ร้อยยี่สิบเป็นความเร็วสูงสุดที่เจ้านีโอเก่าดัดแปลงติดแก๊สของผม
เคยทำได้  แต่ผมไม่สงสัยเลยว่า avatar ยังสามารถพารถแล่นต่อไปได้เยี่ยมยอดเช่นนี้
ที่ความเร็วที่สูงกว่านี้อย่างแน่นอน ดังนั้น รับคะแนนบวกจากผมไปอีกคะแนน

ผมพารถกลับบ้าน ผ่านซอยย่อยระหว่างถนนสาย 4 กับสาย 5 เสียงยางกับเสียงช่วงล่างของนีโอ
อันลือชื่อในทางลบ เริ่มเข้ามาในรถได้ยินชัดขึ้นแต่ก็ไม่แปลกหูแต่อย่างไร  รถวิ่งคดเคี้ยวไป
ตามทางในซอยที่มีรอยซ่อมปะด้วยยางมะตอยไปตลอด โดยยางคู่หน้าตอบสนองการบังคับเลี้ยว
จากพวงมาลัยได้อย่างแม่นยำและมั่นใจ  แหม...นี่จะชมรถหรือชมยางกันแน่

อย่างไรก็ดี ยางรถรับแรงสะเทือนจากช่วงล่างของรถที่ความเร็วต่ำได้ไม่นุ่มนวลนัก
ถ้าเป็นยางใหม่ของยี่ห้อเดิม ดูเหมือนว่าจะทำได้ดีกว่า เนื้อยางของ avatar อาจจะแข็งกว่า
แต่ผมยังไม่ขอสรุปในข้อนี้ เพราะผมเองก็ไม่แน่ใจว่า ที่ร้านยาง เค้าสูบลมยางมา
ให้แข็งเกินไปหรือเปล่า ต้องขอเวลาดูในเรื่องนี้ก่อน หรือลองวิ่งไปซักพัก

บทสรุปของวันนี้ ก็คือ ยาง avatar ไม่น้อยหน้าใครเรื่องการเกาะถนนทุกย่านความเร็ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ความเร็วเกินร้อย ความเงียบของยางตอนวิ่งก็ทำได้โดยไม่เป็นรองใคร  
ยางอาจจะให้ความรู้สึกกระด้างไปบ้างที่ความเร็วต่ำ แต่ก็อาจช่วยให้รถวิ่งนุ่มนวลขึ้นบ้าง
ถ้าหากจะลดลมยางลงซักปอนด์สองปอนด์ (แต่อย่าปล่อยลมออกมากเกินไป เดี๋ยวจะไม่ปลอดภัย) 

แต่ในเรื่องราคานั้น avatar ชนะขาดลอย เพราะไอ้เจ้ายี่ห้อเดิมของผมที่ว่าเงียบแสนเงียบ
นั้น มันขึ้นไปเป็น 3,300 บาทต่อเส้นแล้วจ้า
ต่อให้มันจะเงียบอย่างไง ตอนนี้ กระผมขอพักไว้ก่อน 
เพราะว่าอันที่จริงแล้ว มันก็แล่นเงียบให้ดีใจอยู่แค่ไม่ถึง 3 เดือน จากนั้น
พอใช้งานไปซักพัก มันก็เริ่มส่งเสียงดังจนได้ ซึ่งมันจะเป็นอย่างนี้อยู่ทุกยี่ห้อ

ท้ายที่สุดนี้ ผมไม่ลืมที่ต้องขอขอบพระคุณพี่ชายที่แสนดีของผมที่แนะนำยางดีๆ อีกยี่ห้อหนึ่ง


                                                                 (บทความโฆษณา)