วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2558

1 ตค. วันผู้สูงอายุสากล

วันนี้ ผู้เขียนได้อ่านข่าวที่เกี่ยวกับผู้สูงอายุในวัยเกษียณ จากเว๊ป manager online
เห็นว่า มีประโยชน์ต่อผู้สูงวัยอย่างผู้เขียน ก็เลยอยากจะนำมาแชร์ให้อ่านทั่วกันในที่นี้ 

ต้องขอขอบพระคุณ manager online ด้วยนะครับ


สธ. ห่วงคนวัยเกษียณปรับตัวไม่ทัน มีเวลาว่าง ไม่ได้ทำงานพบปะผู้คน เสี่ยงภาวะซึมเศร้า เหงา เครียด แนะปรับมุมมองการใช้ชีวิต คิดบวก เตรียมตัวหากลุ่มเพื่อน กลุ่มกิจกรรมก่อนเกษียณ แนะการดูแลอาหาร สุขภาพวัยเกษียณ เผย 3 แนวทางเป็นผู้เกษียณอย่างมีความสุข 

        นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า วันที่ 30 ก.ย. ของทุกปีถือเป็นวันสุดท้ายของการทำงานในผู้ที่เกษียณอายุราชการ โดยหลังจากนี้ผู้เกษียณจะมีเวลาว่างมากขึ้น ทำให้หลายคนอาจปรับตัวไม่ทัน เพราะที่ผ่านมาต้องทำงานพบปะเพื่อนร่วมงานทุกวัน อาจเกิดภาวะซึมเศร้า เหงา เครียดได้ ดังนั้น ผู้ที่จะเกษียณจึงควรเตรียมตัวเตรียมใจ ไม่วิตกกังวลเกินไปกับชีวิตหลังเกษียณ มองโลกในแง่ดี คิดบวก ให้เวลากับการดูแลสุขภาพ ออกกำลังกาย อยู่กับครอบครัว ทำงานอดิเรกที่ชอบ พักผ่อนอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ช่วงก่อนเกษียณควรมีการเตรียมตัวหากลุ่มเพื่อน กลุ่มเครือข่ายต่าง ๆ ไว้ หรืออาจหากลุ่มสมาชิกผู้สูงอายุใกล้ ๆ เพื่อจะได้ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ
       
       “สำหรับการดูแลด้านอาหารของวัยเกษียณ ซึ่งเป็นวัยสูงอายุด้วยนั้น แนะนำให้กินอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ และหลากหลาย เลือกกินข้าวกล้อง ผักมื้อละ 2 ทัพพี และผลไม้วันละ 3 - 5 ส่วน จะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด และโรคมะเร็ง กินปลาเป็นหลัก สลับกับเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน ดื่มนมวันละ 1 แก้ว เพื่อรับแคลเซียมและวิตามิน เลือกกินอาหารที่มีไขมันแต่พอควร ปรุงอาหารด้วยวิธี ต้ม นึ่ง อบ แทนการทอด เลี่ยงอาหารรสหวานจัด เค็มจัด หากมีปัญหาสุขภาพช่องปากควรดัดแปลงอาหารให้อ่อนนิ่ม หรือมีขนาดเล็กลง สับหรือบดให้ละเอียดก่อนนำมาปรุง นอกจากนี้ ควรออกกำลังกายสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที แบบที่ไม่ใช้แรงกระแทก เพราะจะทำให้เข่ารับน้ำหนักมากขึ้นจนเสื่อม” รมว.สาธารณสุข กล่าว
       
       นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า การเตรียมสะสมเงินสำรองไว้ใช้จ่ายหลังเกษียณอายุ ประมาณการรายรับ - รายจ่ายในแต่ละเดือน จะช่วยลดปัญหาและภาวะเครียดจากค่าใช้จ่ายที่ไม่พอใช้ได้ รวมทั้งการเตรียมความพร้อมของที่อยู่อาศัย จัดบ้านและสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม โดยคำนึงถึงความปลอดภัย เพื่อลดอุบัติเหตุและอันตรายต่าง ๆ เช่น ใช้วัสดุกันลื่นในห้องน้ำ มีราวจับ ใช้โถส้วมแบบนั่งราบ จัดบ้านให้โล่งและอากาศถ่ายเทได้สะดวก สำหรับลูกหลานและญาติควรให้ความสำคัญและเวลากับผู้สูงอายุ จะช่วยให้ผู้เกษียณไม่เหงาและเกิดภาวะซึมเศร้า
       
       นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า 
วันที่ 1 ต.ค. ถือเป็นวันผู้สูงอายุสากลและยังเป็นวันเริ่มต้นชีวิตใหม่ของผู้เกษียณ แม้ว่าสมองของผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จะมีความเสื่อมในด้านจำนวนเซลล์สมอง สารสื่อประสาท หรือหลอดเลือดสมองที่เสื่อมลง ทำให้การเรียนรู้สิ่งใหม่ ความคิด ความจำอาจลดลง แต่สมองส่วนการสร้างสรรค์ของผู้สูงอายุยังคงทำงานได้อย่างดีจนถึงอายุ 90 ปี จึงไม่อยากให้มองว่า เกษียณแล้วจะทําให้กลายเป็นคนชรา ทุกอย่างอยู่ที่มุมมองความคิดของเรา ถ้าคิดในทางบวกช่วงเวลานี้ก็จะเป็นช่วงเวลาที่ดี เพราะมีเวลาได้พักผ่อน ดูแลสุขภาพร่างกาย แต่ถ้าคิดทางลบก็จะเป็นช่วงเวลาที่ทำให้รู้สึกแย่ หากไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจ อาจมีภาวะซึมเศร้า กินไม่ได้นอนไม่หลับ คิดว่าถูกทอดทิ้ง และมองตัวเองไม่มีคุณค่า
       
       “แนวทางอยู่อย่างมีความสุขในวัยเกษียณ 
1. ต้องสร้างคุณค่าให้ตัวเอง ทำในสิ่งดี ๆ ให้กับตนเองและผู้อื่น ไม่เปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น ทำความสำเร็จเล็ก ๆ ในแต่ละวัน และมีความสุขกับสิ่งเล็ก ๆ นั้น 
2. สร้างสุขภาพกายและใจให้ตนเอง ทั้งอาหารการกิน การตรวจสุขภาพ การฝึกจิต ฝึกสมาธิ ทำจิตใจให้สดใส เมื่อใดที่รู้สึกหดหู่ เหงา เศร้า ไม่สดชื่น ต้องรู้ตัว รีบปรับตัว อยู่กับคนที่รัก ไปพบเพื่อนฝูง พุดคุยปรึกษาปัญหา ทำกิจกรรมที่ชอบ ถ้าทำทุกอย่างแล้วไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาจิตแพทย์ 
3. สร้างกิจกรรมที่หลากหลายตามสภาวะของร่างกาย ทั้งกิจกรรมในบ้าน นอกบ้าน ทำคนเดียวหรือเป็นกลุ่ม ตามความชอบ ความพอใจ รสนิยม และบริบทการใช้ชีวิต เพื่อช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง และร่างกาย ให้มีความคล่องแคล่ว ว่องไว เพื่อเป็นผู้สูงอายุที่ยังคงความหนุ่ม ความสาว ชะลอความเสื่อมให้นานที่สุด” อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าว
       

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2558

มันมาอีกแล้วครับท่าน.... วันสิ้นโลก 24.09.2015

นับเป็นเวลามานานเกือบร่วมปี ที่ผู้เขียนได้หยุดโพสต์ข้อความลงในบล๊อกส่วนตัวนี้
เพราะไม่มีประเด็นอะไรใหม่ แม้แต่จะเขียนข้อความเชียร์สินค้าเกี่ยวกับยานยนต์

แต่ตอนนี้ มันเกิดมีประเด็นใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับทุกคนบนโลกนี้ คือ เกิดกระแสแพร่กระจายกันมาในโลกโซเชียล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใน YOUTUBE อีกแล้วว่า ดาวเคราะห์ที่เรียกว่า โลกที่พวกเราๆ ท่านๆ อาศัยอยู่นี้ ต้องถึงคราวอวสาน หรือไม่ก็ใกล้เคียงจะสูญสลายไปในช่วงวันที่ 18-24 กันยายน ปีนี้ ซึ่งก็อีกไม่กี่วันนับต่อจากนี้

ฟังแล้ว บางท่านคงอดขำในใจไม่ได้ว่า  ไอ้ความคิดบ้าๆ นี้มันมาอีกแล้ว...

กระแสความเชื่อของผู้คนในสังคมในเรื่อง โลกแตก ได้หดหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลังวันที่ 21.12.2012 สามปีที่แล้ว  เรื่องทั้งหมดที่เฝ้าติดตามกันมาหลายปีหลายเดือนสำหรับคนบางคน กลายเป็นเรื่องของภาพยนตร์ทำเงิน แต่ไม่มีสาระหรือข้อมูลความจริงที่จะมาเฝ้าติดตาม และกล่าวถึงกันอย่างจริงจังอีกต่อไป

แต่แล้ว จู่ๆ ก็เกิดมีคนนำประเด็นนี้มาโพสต์เป็นวิดิโอคลิปขึ้นมาบน YOUTUBE  จากนั้นไม่นานนัก ก็มีผู้ติดตามแชร์ข้อมูลกันอย่างแพร่หลายในวงกว้าง จนบางคลิปมีผู้ชมเป็นล้าน เมื่อไล่เรียงดูเวลาจากคลิปเหล่านี้ จะเห็นว่า เจ้ากระแสความคิดในเรื่องนี้น่าจะเกิดขึ้นไม่นาน น่าจะปลายปีที่แล้ว ต่อจากนั้นก็มีผู้คนมาต่อกระแสความเชื่อด้วยการโพสต์ข้อมูลเพิ่มเติม ทั้งลับและไม่ลับ สัญญานบอกเหตุต่างๆ ทั่วโลก จนนับไม่ถ้วนว่า โลกเราจะประสบกับปัญหาถึงขั้นมหันตภัยวิบัติสิ้นโลกสังคมล่มสลาย ประชากรของโลกล้มตายเป็นจำนวนมาก ในช่วงวันที่ 18 - 24 กันยายน 2015 ซึ่งอันที่จริงแล้ว วันที่เกิดจะเหตุการณ์จริง ต่างก็ว่า น่าจะเป็นหรือไม่เกิน วันที่ 24 กันยายนแน่นอน แหม...ใครหนอ ช่างเก่งกาจสามารถพยากรณ์ได้เจาะจงแม่นยำขนาดนั้น ท่านนอสตราดามุส เองยังไม่กล้าเลย

เอาล่ะ แต่มันก็ดีไปอย่างที่ไม่ต้องรอนานกว่าจะได้พิสูจน์ เพราะเหลือเพียงอีกไม่กี่วันเอง เหล่าบรรดานักพยากรณ์ นักวิทยาศาสตร์ นักวิเคราะห์ นักวิจารณ์ กับผู้ติดตามกระแสข่าวอย่างเราๆ จะได้เห็นว่า มันจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่

ระหว่างนี้ ผู้เขียนได้ลองรวบรวมข้อมูลจาก YOUTUBE ว่า พวกนั้นเค้ามีความเชื่อในเรื่องนี้กันอย่างไรว่า โลกจะเดินทางมาถึงจุดสุดท้ายมหาภัยพิบัติเช่นนั้นในช่วงวันดังกล่าวนี้ มันมีสาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง

ลำดับแรก คือ มันเกิดมาจากการทดลองของคณะนักวิทยาศาสตร์ขององค์กรวิจัยนิวเคลียร์แห่งยุโรป ซึ่งมีชื่อย่อเป็นที่รู้จักกันว่า CERN


CERN คือองค์กรทำอะไร มีความเป็นมาอย่างไร เป็นเรื่องยาว
ผู้เขียนขออนุญาตคัดลอกข้อมูลบางส่วนจาก วิกิพีเดีย จะดีกว่า

องค์การวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป (อังกฤษ: European Organization for Nuclear Research; CERN; ฝรั่งเศส: Organisation européenne pour la recherche nucléaire) เรียกโดยทั่วไปว่า "เซิร์น" เป็นองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศในทวีปยุโรปเพื่อวิจัยและพัฒนาทางด้านนิวเคลียร์ ก่อตั้งเมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2497 โดยมีประเทศสมาชิกก่อตั้ง 12 ประเทศ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์

บทบาทหลักของเซิร์นคือ การจัดเตรียมเครื่องเร่งอนุภาคและโครงสร้างอื่นๆที่จำเป็นต่อการวิจัยด้านฟิสิกส์อนุภาค เซิร์นเป็นสถานที่ทำการทดลองมากมายที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ และยังมีชื่อเสียงในฐานะเป็นต้นกำเนิดของเวิลด์ไวด์เว็บ สำนักงานหลักที่เขตเมแร็ง มีศูนย์คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีอุปกรณ์ประมวลผลข้อมูลที่มีประสิทธิภาพสูงมากเพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลจากการทดลอง และเนื่องจากจำเป็นต้องทำให้นักวิจัยในสถานที่อื่นสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ได้ จึงต้องมีฮับสำหรับข่ายงานบริเวณกว้างอีกด้วย

ห้องควบคุมปฏิบัติการ
ภายในอุโมค์วงแหวนยาว 27 กม.
สำนักงานใหญ่ของเซิร์น ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงเจนีวา ใกล้กับชายแดนฝรั่งเศส-สวิตเซอร์แลนด์ เป็นที่ตั้งของห้องปฏิบัติการนิวเคลียร์ฟิสิกส์ขนาดใหญ่ มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการราว 3,000 คน
อุโมงค์วงแหวนครอบคลุมพื้นที่ของสองประเทศ

ปัจจุบัน เซิร์นได้ติดตั้งเครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่ (Large Hadron Collider - LHC) ภายในอุโมงค์ใต้ดินรูปวงแหวนขนาดเส้นรอบวง 27 กิโลเมตร มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ใต้ดินของประเทศฝรั่งเศส และสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก การติดตั้งได้แล้วเสร็จและได้เริ่มการทดลองมาเรื่อย ๆ หลังจากเดือนกันยายน พ.ศ. 2551

Large Hadron Collider - LHC
               
สำนักข่าวต่างประเทศได้รายงานว่า คณะนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์จากศูนย์วิจัยนิวเคลียร์แห่งยุโรปหรือเซิร์น  ได้เริ่มทดลองยิงอนุภาคโปรตอนเพื่อไขปริศนาหาจุดกำเนิดของจักรวาลหรือเอกภพอีกครั้งหนึ่ง  ท่ามกลางการเฝ้าจับตาสังเกตการณ์จากนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ทั่วโลกกว่า 9,000 คน

ตามรายงานข่าว การทดลองยิงอนุภาคโปรตอนครั้งนี้ นับเป็นครั้งใหญ่ที่สุด มีขึ้นที่อุโมงค์ใต้ดิน บริเวณพรมแดนระหว่างฝรั่งเศสกับสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งลึกลงจากพื้นผิวโลกไปประมาณ 300 - 400 ฟุต ทั้งนี้ การทดลองยิงอนุภาคโปรตอน เริ่มขึ้นเมื่อวันพุธที่ 9 กันยายนที่ผ่านมาในเวลาประมาณ 09.32 น.เวลาท้องถิ่น หรือตรงกับเวลา 14.30 น.ตามเวลาในไทย

โดยนางพาโอลา คาทาพาโน โฆษกหญิงของเซิร์น กล่าวว่า อนุภาคโปรตอนที่ยิงออกไปครั้งใหญ่ที่สุดในโลกครั้งนี้  ถูกยิงจากเครื่อง Large Hadron Collider หรือแอลเอชซี ซึ่งเป็นเครื่องยิงอนุภาคโปรตอน มีลักษณะคล้ายท่อวงแหวนมีขนาดความยาว 27  กิโลเมตร ที่ถูกสร้างขึ้นตามโครงการที่คิดขึ้นเมื่อ  30  ปีที่แล้ว

 เครื่องยิงอนุภาคโปรตอน จะทำหน้าที่เป็นเร่งความเร็วของอนุภาคโปรตอนให้มีความเร็วเท่ากับหรือเกือบเท่ากับความเร็วของแสงวิ่งชนกัน  เพื่อให้เกิดปรากฏการณ์ระเบิดครั้งใหญ่หรือบิ๊กแบง ซึ่งตามสมมติฐานของนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ เชื่อว่า ปรากฏการณ์บิ๊กแบงนี้จะก่อให้เกิดวิวัฒนาการต่างๆ รวมทั้งวิวัฒนาการของเอกภพหรือจักรวาลด้วย

ขณะเดียวกัน ทางด้านนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ต่างพากันแสดงความหวั่นวิตกว่า การทดลองครั้งนี้จะส่งผลทำให้เกิดหลุมดำแม้เพียงขนาดเล็ก แต่ก็สามารถดูดกลืนวัตถุรอบ ๆ และขยายตัวใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งตัวโลกของเราเอง หรือจักรวาลทั้งหมดที่มีอยู่ ก็สามารถถูกดูดกลืนเข้าไปได้ภายในพริบตาด้วยความเร็วของแสง ซึ่งนายเจมส์ กิลเลส หัวหน้าคณะโฆษกของเซิร์น ออกมาตอบโต้ว่า ความหวั่นวิตกดังกล่าว เป็นเรื่องที่เหลวไหล

เป็นยังไงบ้างครับ ฟังแล้วมันน่าสยดสยองอยู่ไม่น้อย แต่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ (ถ้ามันเกิดขึ้นจริงนะครับ) จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทันใจจนไม่มีมนุษย์ผู้ใดสามารถแก้ไขหรือทำอะไรได้เลย มันเป็นหายนะชนิดไร้ซึ่งความทรมานหรือเจ็บปวด นับเป็นจุดจบของโลกและมนุษย์ชาติแบบเจ๋งจริงๆ

หลุมดำที่ดูดกลืนกินทุกอย่างแม้แต่แสง
ลำดับต่อไป สิ่งที่กำลังจะมาทำลายล้างโลกได้ ก็คือ เจ้าดาวนิบิรู Nibiru หรือ ดาวเคราะห์ X วายร้ายเจ้าเก่าของภาคที่แล้ว ที่ว่าจะโคจรมาใกล้โลก เมื่อตอนวันที่ 21.12.2012 นั่นเอง สำหรับผู้ติดตามในเรื่องนี้คงยังจำกันได้



แต่แล้วพอถึงวันที่ 21 ธันวาคม 2012 เข้าจริง ๆ  เจ้าดาวนิบิรูกลับไม่โผล่มาให้เห็นเลย สังคมก็เลยสรุปว่า มันไม่เคยมีอยู่จริง ทางองค์การนาซ่าเอง ก็ไม่เคยบอกหรือยืนยันอย่างเป็นทางการเลยว่า มีดาวดวงนี้อยู่ในสารบบดาวใด ๆ มาก่อน  แต่ระนั้นก็ดี ยังมีผู้คนพากันเชื่อได้เชื่อดีว่า มันต้องมีอยู่จริง

หนนี้มันกลับมาอีกแล้วสำหรับผู้ที่ยังคงเชื่อว่ามันมีอยู่  ขณะนี้มันได้โคจรเข้ามาในระบบสุริยะของเรา และพอมาถึงระยะที่ใกล้กับโลก แรงดึงดูดอันมหาศาลของมัน (ดาวนิบิรู ใหญ่กว่าโลกถึง 4-5 เท่า) จะส่งผลให้แรงโน้มถ่วงของโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง  จะทำให้ขั้วแม่เหล็กโลกสลับเปลี่ยนขั้ว หรือทำให้โลกหมุนช้าลง จนถึงหยุดหมุนรอบตัวเอง ซึ่งจะก่อให้เกิดความแปรปรวนทางภูมิอากาศทั่วโลก อาทิเช่น ซุปเปอร์พายุหมุนกำลังแรง หรือน้ำท่วมใหญ่ ภาพเหตุการณ์ที่เลวร้ายสุดๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ก็คือ มันโคจรพุ่งชนโลกเราอย่างตรง ๆ อันนี้ไม่ต้องใช้จินตนาการใดๆเลยว่า โลกและเหล่ามนุษย์ที่อาศัยอยู่จะจบลงเอยกันอย่างไร




ในขณะที่ก็เหลือเวลาอีกไม่กี่วัน แต่กล้องโทรทรรศ์ดูดาวต่าง ๆ ทั้งบนโลกและในอวกาศเช่น กล้อง Hubble กลับยังมองไม่เห็นการมาของมันใกล้โลกเลย  ดังนั้น ผู้เขียนว่า ความหายนะรายการนี้น่าจะตกอยู่ในอันดับที่เป็นไปไม่ได้อย่างที่สุด

อันดับต่อมาอีก ก็เป็นการพุ่งชนโลกของลูกอุกกาบาตขนาดใหญ่ อันนี้มาสไตล์ภาพยนตร์เรื่อง Deep Impact ดังนั้น ผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นใด ก็ไม่ต้องเสียเวลาสาธยายมาก


มหาสมุทรทั่วโลกจะเกิดคลื่นซูนามิระดับสูงหลายร้อยเมตรโถมเข้าฝั่งทวีปต่างๆ เมืองทุกเมืองที่ตั้งอยู่ชายฝั่งทวีปกลายไปเมืองใต้บาดาลในทันที สร้างความเสียหายต่อมนุษยชาติและสรรพสิ่งสุดคณานับ

บางข้อมูลก็ว่า ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นเป็นวันสิ้นโลกในช่วงเวลาดังกล่าว ก็จะเกิดภัยสงคราม หรือจราจล ระดับภูมิภาค อันสืบเนื่องมาจากการล้มสลายทางเศรษฐกิจของประเทศผู้นำโลก อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา รัสเซีย ไม่ก็จีน หรือบางประเทศในกลุ่มอียู  หายนะรายการนี้มาแนวเศรษฐกิจการเงิน และการเมือง มิใช่แนววิทยาศาสตร์แต่อย่างใด  ซึ่งจะว่าไปแล้ว มันก็มีความเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน  แต่ในความคิดเห็นส่วนตัวแล้ว มันไม่ยังน่าจะเกิดขึ้นในเวลาช่วงนี้ ถ้าภายในอีกปีสองปีล่ะก็อาจไม่แน่เหมือนกัน


นอกจากสาเหตุต่าง ๆ ที่จะนำการล่มสลายแตกดับของโลกที่ได้พูดมาแล้วข้างต้น ยังมีเหตุปัจจัยอื่นๆ อีก เช่น เกิดสงครามโลกครั้งที่สาม ที่ผู้ตั้งตัวเป็นนักพยากรณ์ พากันทำนายและแชร์ความเชื่อของตนบน YOUTUBE

เป็นอีกครั้งหนึ่งที่พวกเราจะมาลองนับถอยหลังวันสิ้นโลกภายในวันที่ 24 เดือนนี้กันดู เพราะไม่มีอะไรต้องเสีย อีกทั้งก็ไม่นานเกินรอ

ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกเหมือนคราวที่แล้วหลังวันที่ 21.12.2012  เหล่าพวกนักพยากรณ์ทั้งหลายก็คงไม่รู้สึกหน้าแตกอะไร คงพาออกมาแก้ตัวด้วยมุขเดิม ๆ ว่า วันสิ้นโลก ที่ยังไม่เกิดขึ้น ก็เพราะเหตุผลนานับประการ หรือไม่ก็ไม่พูดอะไร แต่จะเลื่อนกำหนดวันสิ้นโลกออกไปใหม่เรื่อย ๆ  แต่คราวนี้ ความเชื่อของผู้คนในประเด็นโลกสูญสลาย น่าจะจุดประเด็นไม่ติดอีกต่อไป  ถ้าไม่อย่างถาวร อย่างน้อยก็สักช่วงระยะเวลาหนึ่ง