วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

จะเป็นไปได้หรือ? ล้างรถทั้งคันให้สะอาดด้วยน้ำเพียงครึ่งถัง!

วันนี้ ผู้เขียนได้มีโอกาสทดลองใช้ผลิตภัณฑ์น้ำยาล้างและเคลือบเงารถโดยใช้ผสมกับน้ำธรรมดา นำเข้ามาจากประเทศสหรัฐอเมริกา มีชื่อว่า Turtle Wax Rinse Free Wash & Wax ซึ่งพี่ชายที่แสนดีได้แวะมาให้ลองใช้ดูเมื่อวันก่อน


สินค้าตัวนี้เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ของ Turtle Wax ผู้ผลิตสินค้า
สำหรับดูแลรักษาสีรถยนต์ที่มีชื่อมานานของสหรัฐอเมริกา


ท่านเจ้าของรถทุกท่านคงได้เคยล้างรถยนต์ของตนเองมาแล้ว
ถ้าหากบ้านที่พักของท่านมีบริเวณกว้างขวางพอ  แต่สำหรับท่าน
ที่ไม่สะดวกจะล้างเอง ก็มักขับรถไปให้ศูนย์บริการล้างรถยนต์
ที่มีอยู่ตามห้างหรือตั้งอยู่ข้างถนน ซึ่งก็จะเสียค่าใช้จ่ายในการล้างรถ
เป็นร้อยหรือหลายร้อยบาททีเดียว ณ ปัจจุบัน

ส่วนมาก ทุก ๆ ท่านคงต้องได้เคยรับรู้ข้อมูลมาว่า การล้างรถที่ถูกวิธีนั้น ควรใช้สายพ่นน้ำฉีดใส่รถเพื่อให้ขี้ดินและสิ่งสกปรกที่ติดอยู่บนตัวรถหลุดออก หรืออีกวิธีหนึ่ง ก็ใช้ฟองน้ำหรือผ้าเช็ดชุบน้ำให้เปียกมาก ๆ ลูบเอาฝุ่นต่าง ๆ ที่ติดออก  สรุปทั้ง  2 วิธี ก็คือ ต้องใช้น้ำล้างรถให้เยอะ ๆ เข้าไว้  การใช้ผ้าที่แห้งหรือเปียกไม่พอเช็ดลงบนรถที่มีฝุ่นเกาะหรือคราบสกปรกติดแน่นอยู่ เจ้าเม็ดละอองฝุ่นเล็ก ๆ เหล่านั้น
จะขูดผิวหน้าสีรถตอนเช็ดถู เกิดเป็นรอยขีดข่วนเล็ก ๆ เต็มไปหมดและสีจะแลดูด้านไม่เงา อย่างที่เรียกกันว่า ขึ้นรอยขนแมว ในระยะยาว

ทีนี้ เจ้าผลิตภัณฑ์ของ Turtle Wax ที่กำลังจะทดลองใช้ดูนี้
ผู้ผลิตเค้ากลับปฎิวัตินำเสนอความคิดในการล้างรถที่ตรงกันข้ามกับ
ข้อมูลที่เคยเข้าใจกันมาแต่ดั้งเดิม โดยชื่อสินค้าก็บอกในตัวแล้วว่า
Rinse Free Wash & Wax คือ ล้างรถโดยไม่ต้องใช้น้ำมาก
และก็เคลือบเงาในตัวแบบ All-in-one ซะด้วย แปลว่า
ได้งานสองอย่างในหนึ่งเดียว ฟังดูดีจังแฮะ ผู้เขียนยังสงสัย
ว่า มันจะทำได้อย่างที่โฆษณาหรือเปล่า

เรามาทดลองทำกันดูซิว่า ผลมันจะออกมาเป็นอย่างไร

ตามคู่มือบอกว่า น้ำยา 1 ฝา กับน้ำเพียงแค่ 4 ลิตร
และผ้าเช็ดรถแบบ microfiber 2 ผืน ผืนหนึ่งใช้ชุบน้ำเช็ดรถ
ส่วนอีกผืนใช้เช็ดให้แห้ง สำหรับเจ้าผ้าเช็ดรถไมโครไฟเบอร์
นี้ ของแท้มียี่ห้อก็มีราคาหลายอยู่ แต่ถ้าเป็นของเทียมที่มีขายตามตลาดนัด ทุกอย่าง 20 บาท ก็เอามาใช้งานได้ไม่แพ้กันมากนัก

ตัวน้ำยาเป็นสีฟ้า ใส่ในถังน้ำบังเอิญเป็นสีฟ้า ก็เลยมองเห็นไม่ชัดครับ
น้ำยาออกกลิ่นหอมธรรมชาติ กลิ่นคล้ายน้ำยาปรับผ้านุ่ม
เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สามารถย่อยสลายตามธรรมชาติได้

เริ่มงานจากสิ่งที่เราท่านทราบดี ก็คือ เอาผ้าเช็ดชุบน้ำในถังที่ผสมน้ำยาเตรียมไว้ เอาผ้าเช็ดรถเป็นส่วน ๆ จากบนลงล่าง เมื่อเสร็จพื้นที่ส่วนหนึ่งก็นำผ้ามาซักในถัง บิดผ้าพอชุ่ม ๆ อย่าให้แห้งนัก โดยให้เริ่มเช็ดจากหลังคา กระจกรถ ไล่ลงมาที่กระโปรงหน้าและหลัง 
จากนั้นก็เป็นข้างตัวรถทั้งสองด้าน ซึ่งจะมีความสกปรกมากขึ้นเรื่อย ๆ
จนมาจบลงที่ล้อรถทั้ง 4  ผู้เขียนได้สังเกตุว่า ฝุ่นและสิ่งสกปรกต่างๆ ถูกเช็ดออกจากพื้นผิวตัวรถได้อย่างง่ายดาย โดยแทบไม่ต้องออกแรงเช็ดถูมาก ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดรอยขนแมวน้อยมากจนเกือบไม่มี แต่แน่นอน ถ้ามีจุดตรงไหนที่เป็นมูลนกแห้งแข็งหรือเศษยางมะตอยติดอยู่ ก็คงต้องออกแรงมากหน่อย มันถึงจะหลุดออกไปได้ รวมเวลาเช็ดล้างทั้งคันไม่น่าเกิน 15 นาที โดยที่ยังไม่รู้สึกเหนื่อยอะไรเลยครับ

เมื่อเสร็จขั้นตอนนี้แล้ว ก็นำผ้าเช็ดแห้งที่เตรียมไว้อีกผืน กึ่งลูบกึ่งเช็ดเบา ๆ เพื่อให้รอยคราบน้ำหมดไป รถก็จะแลดูเงางามเหมือนกับเอาไปล้างตามศูนย์บริการเลย ขั้นตอนนี้ใช้เวลาไปไม่ถึง 5 นาที และก็ไม่ต้องใช้แรงมากเช่นกัน



เหลียวมามองดูที่น้ำในถัง พบว่า สิ่งสกปรกต่าง ๆ ลอยอยู่ในน้ำจากการซักผ้าเช็ดรถในแต่ละครั้ง จนน้ำล้างรถดำเมี่ยม


เมื่อผู้เขียนลองเอามือลูบไล้ที่ผิวตัวรถ ได้รับความรู้สึกลื่นเหมือนผ่านการเคลือบแว๊กซ์ อย่างที่โฆษณาไว้ แต่อย่างไรก็ดี มันก็ไม่ได้ดีถึงระดับชักเงาว๊าบแบบผ่านการขัดเคลือบสีรถด้วย Hard Wax ที่ให้บริการตามศูนย์เคลือบสีรถยนต์เลยนะครับ

เป็นที่สังเกตุว่า การล้างรถประจำด้วยผลิตภัณฑ์นี้ ผงฝุ่นละอองดินต่าง ๆ จะถูกเช็ดออกง่ายขึ้นในการล้างครั้งต่อ ๆไป สีรถเองก็จะดูเป็นมันเงางามขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน

หากล้างรถด้วยแชมพูล้างรถธรรมดาที่มีขายอยู่ทั่วไป สีรถกลับจะด้านและซีดลงทุกครั้งที่ล้าง จำเป็นต้องทำการลงแว๊กซ์ขัดให้ขึ้นเงา ซึ่งจะเป็นงานที่เหนื่อยใช้แรงมาก (ถ้าเราทำเอง) และมีค่าใช้จ่ายสูง (ถ้าให้ร้านทำให้) สีรถจึงจะกลับมาดูใหม่เป็นเงาดั่งเดิม

ดังนั้น พอจะสรุปได้ว่า ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ใช้งานได้สมราคาคุย คือใช้น้ำน้อยนิดเพียงครึ่งถัง ก็สามารถทำความสะอาดรถทั้งคันได้ พร้อมกับทำให้สีรถเป็นมันเงางามเหมือนเคลือบแว๊กซ์ (แบบบาง ๆ) อนึ่งผู้ใช้เองก็สบายใจว่า ตัวเองได้มีส่วนรักษาสภาวะแวดล้อมของโลกให้ดีขึ้น เพราะตัวน้ำยาทำจากสาร Polymers ที่ย่อยสลายตามธรรมชาติได้ จึงเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยิ่ง และเนื่องจากใช้น้ำน้อยนิดในการล้างรถ ก็เป็นการช่วยประหยัดทรัพยากรโลกอีกทางหนึ่งด้วย

ทีนี้ ผู้เขียนลองมาคิดเล่น ๆ ดูว่า สินค้าตัวนี้น่าจะเหมาะกับผู้ใช้แบบใดบ้าง เนื่องจากเป็นสินค้านำเข้า ราคามันคงต้องสูงกว่าพวกแชมพูล้างรถที่มีขายกันอยู่ทั่วไป ท่านที่อาศัยอยู่ตามหมู่บ้านซึ่งมีบริเวณพื้นที่และสามารถหาน้ำเยอะ ๆ มาล้างรถง่ายๆ อาจไม่สนใจเท่าไร

แต่สำหรับท่านที่ต้องพำนักอาศัยในสถานที่ไม่สะดวกที่จะ
หาน้ำปริมาณมาก ๆ มาล้างรถ เช่น หอพัก คอนโด สินค้าตัวนี้น่าจะตอบโจทย์ได้อย่างดีทีเดียว คงจะเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายสำคัญ

อีกกลุ่มลูกค้าหนึ่ง น่าจะเป็นผู้ที่ต้องการจะดูแลรถเอง แต่ก็ไม่มีเวลา
มาก ประสงค์ให้งานล้างรถสามารถทำให้จบได้ในงานเดียว คือ
ทั้งล้าง ทั้งเคลือบเงาได้ในขั้นตอนเดียว สินค้าตัวนี้ก็น่าจะมีโอกาสเข้าถึงผู้คนเหล่านี้ ถึงแม้ว่าจะมีผลิตภัณฑ์แบบเดียวกันนี้วางขายตามชั้นของห้างต่าง ๆ อยู่ไม่น้อย ก็คงต้องเหนื่อยหน่อยสำหรับผู้ทำการตลาดสินค้า

อ้อ!  ผู้เขียนเกือบลืมบอกไป ก่อนจะกลับคุณพี่ชายได้เพิ่มข้อมูลสำหรับน้ำยาเช็ดล้างรถตัวนี้ว่า  น้ำที่ล้างรถเสร็จ (ที่ผู้เขียนบอกว่า สกปรกมากจนดำมิดหมีนั้น) จงอย่าทิ้งไป ยังสามารถใช้ประโยชน์ได้ โดยปล่อยน้ำให้ตกตะกอนแล้วนำมากรองเอาสิ่งสกปรกออกด้วยผ้าบางหรือกระดาษกรอง แยกเอาน้ำส่วนที่ใสเป็นสีฟ้า มาใส่กระบอกฉีดทำเป็นสเปรย์ฉีดน้ำยาทำความสะอาดอเนกประสงค์ได้อีก จะใช้ฉีดเช็ดทำความสะอาดกระจกรถ กระจกหน้าต่าง เตาแก๊ส ห้องครัวที่เปื้อนน้ำมัน ฯลฯ  ซึ่่งผู้เขียนก็ได้ลองทำดู โดยปล่อยให้สิ่งสกปรกตกตะกอนในถังน้ำค้างคืน รุ่งเช้าก็พบว่า เป็นจริงดั่งว่า น้ำที่ล้างรถได้ทำปฎิกริยาแยกตัวเป็นสองชั้น โดยน้ำใสสะอาดลอยอยู่ด้านบน ส่วนบรรดาสิ่งสกปรกต่าง ๆ จากการล้างรถเมื่อวานจับรวมตัวกันจมอยู่ก้นถัง

กระบอกฉีดใส่น้ำยาทำความสะอาดเอนกประสงค์ที่ได้จากการล้างรถหนึ่งครั้ง
คุณสมบัติของน้ำยาล้างรถของ Turtle Wax ข้อนี้ น่าจะพิเศษเหนือกว่าสินค้าคู่แข่งใด ๆ เป็นแน่ เพราะผู้เขียนเองก็ไม่เคยได้ยินว่า มีผลิตภัณฑ์แบบเดียวกันยี่ห้ออื่น เอาน้ำล้างรถที่ใช้แล้วมาทำได้เช่นนี้

อีกครั้งหนึ่งที่ผู้เขียนต้องขอบคุณพี่ชายที่แนะนำผลิตภัณฑ์ดี ๆ มาให้รู้จัก หลังจากที่ได้แนะนำยางรถยนต์ยี่ห้อ NIKA รุ่น Avatar มาให้ใช้เมื่อปีที่่แล้ว

                                                             (บทความโฆษณา)

วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

โอ้โฮ...รถยนต์ผมวิ่งมาได้ สี่แสนกม.แล้วหรือนี่ !

สี่แสนกิโลเมตรของรถยนต์ ถ้าเทียบกับอายุมนุษย์แล้ว น่าจะประมาณ 70-80 ปี

...และแล้วเจ้ารถนิสสันซันนี่นีโอ รุ่นปี 2002 พาหนะคู่ใจของผู้เขียนก็วิ่ง
มาถึงหลักไมล์ที่ 400,000 กม. ตอนเช้าของวันนี้

นับว่า มันได้ผ่านการใช้งานมาไม่น้อยเลย ระดับน้อง ๆ แท๊กซี่

จากวันแรกที่รับรถมาเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2545 จนถึงวันนี้
อายุอานามของมันก็ร่วม 11 ปีเต็ม จะย่างเข้่าปีที่ 12 อีกไม่กี่วันข้างหน้า

ผู้เขียนได้เฝ้าเก็บข้อมูลค่าใช้จ่ายการบำรุงรักษา ค่าซ่อม ค่าอะหลั่่ย
ต่าง ๆ นับตั้งแต่วันแรก จนถึงปัจจุบันครบเกือบทุกรายการ

ข้อมูลที่น่าสนใจพอจะเล่าสรุปให้่ฟังได้ดังนี้้.-

ราคาตัวรถและค่าอุปกรณ์ต่างๆ ที่ติดตั้งเพิ่มเติมทีหลัง
(รวมทั้งระบบแก๊ส LPG)
847,140.00 บาท
ค่าซ่อมและค่าอะหลั่ยแท้ (ทำที่ศูนย์ตลอด 11 ปี)
105,101.82 บาท
ค่าดูแลตามระยะ (เข้าศูนย์รถตลอดเช่นกัน)
124,451.05 บาท
รวม 3 รายการข้างต้น = 1,076,692.87 บาท

ถ้าเอายอดข้างต้น มาหารค่าเฉลี่ย 11 ปี คิดเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว
ของการใช้รถคันนี้้ (ไม่นับค่าน้ำมันเชื้อเพลิง) = 97,881.17 บาท ต่อปี
หรือ 8,156.76 ต่อเดือน เป็นตัวเลขไม่มากนักสำหรับการมีรถยนต์ใช้หนึ่งคัน

แน่นอนว่า รถยังคงมีอายุใช้งานได้ต่อไป และค่าเฉลี่ยที่ว่านี้ก็จะลดลงไปอีกเรื่อยๆ
แต่ละปีต่อจากนี้

สำหรับข้อมูลสถิติอื่นๆ จากการใช้งาน 11 ปี กับสี่แสนกม.

เปลี่ยนยางทั้งชุด 4 เส้นมา 4 ครั้ง
เปลี่ยนแบตเตอรี่มา 4 ลูก
เปลี่ยนใบยางปัดน้ำฝนมา 5 ครั้ง
เปล่ยนมอเตอร์พัดลมหม้อน้ำมา 2 ครั้ง
เปลี่ยนหม้อน้ำมา 1 ครั้ง (จากอุบัติเหตุชนครั้งใหญ่)
เปลี่ยนขอบยางประตูหน้า 2 บาน 1 ครั้ง
เปลี่ยนยางรองแท่นเครื่อง 2 ตัว  1 ครั้ง
ซ่อมบานพับและสลักประตูหน้าขวา  1 ครั้ง
ซ่อมกระจกมองข้างซ้าย ขวา 1 ครั้ง
ยกเกียร์ออโต้ 1 ครั้ง
เปลี่ยนสลักคาลิปเปอร์เบรคหน้ามามากกว่า 6-7 ครั้ง
(นี่คือ จุดอ่อนของรถรุ่นนี้ เสียงดังก๊อกแก๊กที่ล้อหน้าเสมอ)
เปลี่ยนยางหุ้มเพลาขับ 1 ครั้ง
เปลี่ยนโช๊คหน้า 1 คู่ 1 ครั้ง
เปลี่ยนโชคหลัง 1 คู่ 1 ครั้ง
เปลี่ยนสายพาน 2 ครั้ง
เปลี่ยนผ้าเบรคหน้า 3 ครั้ง เบรคหลัง 2 ครั้ง
เปลี่ยนปีกนกทั้งสองข้าง 1 ครั้ง
ล้างปีกผีเสื้อ 1 ครั้ง

จากรายการซ่อมที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า ยังไม่มีรายการซ่อม
ที่เีกี่ยวกับระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ กับระบบแอร์เลย
(เจ้าประคู้น ขออย่าเพิ่งให้มีตอนนี้เลยครับ เพราะอะหลั่่ยแท้ของ
มันแพงทั้งสองอย่าง)

ส่วนระบบแก๊ส LPG ที่ติดตั้งเพิ่มเติมกับรถ ในระหว่างปีที่ 7
ได้ลองคำนวณอย่างคร่าว ๆ ดูแล้วพบว่า ได้ประหยัดเงินค่า
เชื้อเพลิงจากการเปลี่ยนเป็นแก๊ส จนถึงปัจจุบัน เป็นเงินเกือบสองแสนบาท
สรุปว่า เป็นการลงทุนในเรื่องเชื้อเพลิงคุ้มค่าเกินคำบรรยาย

ส่วนสถิติอุบัติเหตุ เกิดขึ้น 3 ครั้ง
เป็นอุบัติเหตุใหญ่ 1 ครั้ง (หน้ารถยุบลงไปทั้งแถบจนถึงหม้อน้ำ
เกือบถึงตัวเครื่องยนต์ ได้เปลี่ยนหม้อน้ำใหม่จากประกันภัย ก็งานนี้)
ใช้เวลาในการซ่อมไปเกือบสองเดือน
ส่วนอีกสองครั้งเป็นอุบัติเหตุเล็ก ๆ  เป็นการซ่อมสีที่กระโปรงหน้า
กับประตูด้านหลังซ้าย

อ้อ...ผู้เขียนต้องไม่ลืมที่จะบันทึกไว้ ณ ที่นี้ว่า
เจ้านีโอคันนี้ได้ผ่านประสบการณ์อันเลวร้าย
ของน้ำท่วมใหญ่ของปี พ.ศ. 2554 ด้วย

เพราะเค้าต้องติดแหงกแช่น้ำอยู่ที่โรงจอดรถบ้าน
ภายในหมู่บ้านที่น้ำเข้าท่วมสูงเกิน 60 ซม.
ถึงแม้ว่า ก่อนที่จะน้ำมา ตัวรถได้ถูกยกสูงขึ้นวางบนขาหยั่ง
จนล้อทั้งสี่ลอยสูงจากพื้นโรงรถได้ประมาณ 30 ซม.
ระดับน้ำยังท่วมถึงเครื่องยนต์ด้านล่าง และ
ซึมเข้าในห้องโดยสารภายในรถถึงพรม และก็จำทน
แช่น้ำอยู่ในสภาพอย่างนั้นนานถึง 5 อาทิตย์เต็ม
ชีวิตน้อยๆ ของเค้าเกือบจะหาไม่แล้ว
ถ้าเกิดแช่อยู่ในน้ำนานกว่านี้เพียงนิดเดียว
พรมภายในรถอาจเน่า และเครื่องยนต์ส่วนล่างที่แช่น้ำนาน
กำลังจะเกิดสนิมแดง

                                 นี่ขนาด ล้อถูกยกลอยจากพื้นตั้งฟุตแล้วนะ

ดูสภาพเศษฐรกิจแล้ว ผู้เขียนคงต้องใช้เจ้านีโอคันนี้ไปอีกนานเท่านาน

ดังนั้น เป้าหมายข้างหน้าของพวกเราทั้งสองก็คือ เลขไมล์ที่ 500,000 กม.
ต้องทำมันให้ได้นะ เจ้านีโอ เพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากเอ๋ย