เพราะไม่มีประเด็นอะไรใหม่ แม้แต่จะเขียนข้อความเชียร์สินค้าเกี่ยวกับยานยนต์
แต่ตอนนี้ มันเกิดมีประเด็นใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับทุกคนบนโลกนี้ คือ เกิดกระแสแพร่กระจายกันมาในโลกโซเชียล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใน YOUTUBE อีกแล้วว่า ดาวเคราะห์ที่เรียกว่า โลกที่พวกเราๆ ท่านๆ อาศัยอยู่นี้ ต้องถึงคราวอวสาน หรือไม่ก็ใกล้เคียงจะสูญสลายไปในช่วงวันที่ 18-24 กันยายน ปีนี้ ซึ่งก็อีกไม่กี่วันนับต่อจากนี้
ฟังแล้ว บางท่านคงอดขำในใจไม่ได้ว่า ไอ้ความคิดบ้าๆ นี้มันมาอีกแล้ว...
กระแสความเชื่อของผู้คนในสังคมในเรื่อง โลกแตก ได้หดหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลังวันที่ 21.12.2012 สามปีที่แล้ว เรื่องทั้งหมดที่เฝ้าติดตามกันมาหลายปีหลายเดือนสำหรับคนบางคน กลายเป็นเรื่องของภาพยนตร์ทำเงิน แต่ไม่มีสาระหรือข้อมูลความจริงที่จะมาเฝ้าติดตาม และกล่าวถึงกันอย่างจริงจังอีกต่อไป
แต่แล้ว จู่ๆ ก็เกิดมีคนนำประเด็นนี้มาโพสต์เป็นวิดิโอคลิปขึ้นมาบน YOUTUBE จากนั้นไม่นานนัก ก็มีผู้ติดตามแชร์ข้อมูลกันอย่างแพร่หลายในวงกว้าง จนบางคลิปมีผู้ชมเป็นล้าน เมื่อไล่เรียงดูเวลาจากคลิปเหล่านี้ จะเห็นว่า เจ้ากระแสความคิดในเรื่องนี้น่าจะเกิดขึ้นไม่นาน น่าจะปลายปีที่แล้ว ต่อจากนั้นก็มีผู้คนมาต่อกระแสความเชื่อด้วยการโพสต์ข้อมูลเพิ่มเติม ทั้งลับและไม่ลับ สัญญานบอกเหตุต่างๆ ทั่วโลก จนนับไม่ถ้วนว่า โลกเราจะประสบกับปัญหาถึงขั้นมหันตภัยวิบัติสิ้นโลกสังคมล่มสลาย ประชากรของโลกล้มตายเป็นจำนวนมาก ในช่วงวันที่ 18 - 24 กันยายน 2015 ซึ่งอันที่จริงแล้ว วันที่เกิดจะเหตุการณ์จริง ต่างก็ว่า น่าจะเป็นหรือไม่เกิน วันที่ 24 กันยายนแน่นอน แหม...ใครหนอ ช่างเก่งกาจสามารถพยากรณ์ได้เจาะจงแม่นยำขนาดนั้น ท่านนอสตราดามุส เองยังไม่กล้าเลย
เอาล่ะ แต่มันก็ดีไปอย่างที่ไม่ต้องรอนานกว่าจะได้พิสูจน์ เพราะเหลือเพียงอีกไม่กี่วันเอง เหล่าบรรดานักพยากรณ์ นักวิทยาศาสตร์ นักวิเคราะห์ นักวิจารณ์ กับผู้ติดตามกระแสข่าวอย่างเราๆ จะได้เห็นว่า มันจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่
ระหว่างนี้ ผู้เขียนได้ลองรวบรวมข้อมูลจาก YOUTUBE ว่า พวกนั้นเค้ามีความเชื่อในเรื่องนี้กันอย่างไรว่า โลกจะเดินทางมาถึงจุดสุดท้ายมหาภัยพิบัติเช่นนั้นในช่วงวันดังกล่าวนี้ มันมีสาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง
ลำดับแรก คือ มันเกิดมาจากการทดลองของคณะนักวิทยาศาสตร์ขององค์กรวิจัยนิวเคลียร์แห่งยุโรป ซึ่งมีชื่อย่อเป็นที่รู้จักกันว่า CERN
CERN คือองค์กรทำอะไร มีความเป็นมาอย่างไร เป็นเรื่องยาว
ผู้เขียนขออนุญาตคัดลอกข้อมูลบางส่วนจาก วิกิพีเดีย จะดีกว่า
องค์การวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป (อังกฤษ: European Organization for Nuclear Research; CERN; ฝรั่งเศส: Organisation européenne pour la recherche nucléaire) เรียกโดยทั่วไปว่า "เซิร์น" เป็นองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศในทวีปยุโรปเพื่อวิจัยและพัฒนาทางด้านนิวเคลียร์ ก่อตั้งเมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2497 โดยมีประเทศสมาชิกก่อตั้ง 12 ประเทศ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์
บทบาทหลักของเซิร์นคือ การจัดเตรียมเครื่องเร่งอนุภาคและโครงสร้างอื่นๆที่จำเป็นต่อการวิจัยด้านฟิสิกส์อนุภาค เซิร์นเป็นสถานที่ทำการทดลองมากมายที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ และยังมีชื่อเสียงในฐานะเป็นต้นกำเนิดของเวิลด์ไวด์เว็บ สำนักงานหลักที่เขตเมแร็ง มีศูนย์คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีอุปกรณ์ประมวลผลข้อมูลที่มีประสิทธิภาพสูงมากเพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลจากการทดลอง และเนื่องจากจำเป็นต้องทำให้นักวิจัยในสถานที่อื่นสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ได้ จึงต้องมีฮับสำหรับข่ายงานบริเวณกว้างอีกด้วย
ห้องควบคุมปฏิบัติการ |
ภายในอุโมค์วงแหวนยาว 27 กม. |
อุโมงค์วงแหวนครอบคลุมพื้นที่ของสองประเทศ |
Large Hadron Collider - LHC |
สำนักข่าวต่างประเทศได้รายงานว่า คณะนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์จากศูนย์วิจัยนิวเคลียร์แห่งยุโรปหรือเซิร์น ได้เริ่มทดลองยิงอนุภาคโปรตอนเพื่อไขปริศนาหาจุดกำเนิดของจักรวาลหรือเอกภพอีกครั้งหนึ่ง ท่ามกลางการเฝ้าจับตาสังเกตการณ์จากนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ทั่วโลกกว่า 9,000 คน
ตามรายงานข่าว การทดลองยิงอนุภาคโปรตอนครั้งนี้ นับเป็นครั้งใหญ่ที่สุด มีขึ้นที่อุโมงค์ใต้ดิน บริเวณพรมแดนระหว่างฝรั่งเศสกับสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งลึกลงจากพื้นผิวโลกไปประมาณ 300 - 400 ฟุต ทั้งนี้ การทดลองยิงอนุภาคโปรตอน เริ่มขึ้นเมื่อวันพุธที่ 9 กันยายนที่ผ่านมาในเวลาประมาณ 09.32 น.เวลาท้องถิ่น หรือตรงกับเวลา 14.30 น.ตามเวลาในไทย
โดยนางพาโอลา คาทาพาโน โฆษกหญิงของเซิร์น กล่าวว่า อนุภาคโปรตอนที่ยิงออกไปครั้งใหญ่ที่สุดในโลกครั้งนี้ ถูกยิงจากเครื่อง Large Hadron Collider หรือแอลเอชซี ซึ่งเป็นเครื่องยิงอนุภาคโปรตอน มีลักษณะคล้ายท่อวงแหวนมีขนาดความยาว 27 กิโลเมตร ที่ถูกสร้างขึ้นตามโครงการที่คิดขึ้นเมื่อ 30 ปีที่แล้ว
เครื่องยิงอนุภาคโปรตอน จะทำหน้าที่เป็นเร่งความเร็วของอนุภาคโปรตอนให้มีความเร็วเท่ากับหรือเกือบเท่ากับความเร็วของแสงวิ่งชนกัน เพื่อให้เกิดปรากฏการณ์ระเบิดครั้งใหญ่หรือบิ๊กแบง ซึ่งตามสมมติฐานของนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ เชื่อว่า ปรากฏการณ์บิ๊กแบงนี้จะก่อให้เกิดวิวัฒนาการต่างๆ รวมทั้งวิวัฒนาการของเอกภพหรือจักรวาลด้วย
ขณะเดียวกัน ทางด้านนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ต่างพากันแสดงความหวั่นวิตกว่า การทดลองครั้งนี้จะส่งผลทำให้เกิดหลุมดำแม้เพียงขนาดเล็ก แต่ก็สามารถดูดกลืนวัตถุรอบ ๆ และขยายตัวใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งตัวโลกของเราเอง หรือจักรวาลทั้งหมดที่มีอยู่ ก็สามารถถูกดูดกลืนเข้าไปได้ภายในพริบตาด้วยความเร็วของแสง ซึ่งนายเจมส์ กิลเลส หัวหน้าคณะโฆษกของเซิร์น ออกมาตอบโต้ว่า ความหวั่นวิตกดังกล่าว เป็นเรื่องที่เหลวไหล
เป็นยังไงบ้างครับ ฟังแล้วมันน่าสยดสยองอยู่ไม่น้อย แต่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ (ถ้ามันเกิดขึ้นจริงนะครับ) จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทันใจจนไม่มีมนุษย์ผู้ใดสามารถแก้ไขหรือทำอะไรได้เลย มันเป็นหายนะชนิดไร้ซึ่งความทรมานหรือเจ็บปวด นับเป็นจุดจบของโลกและมนุษย์ชาติแบบเจ๋งจริงๆ
หลุมดำที่ดูดกลืนกินทุกอย่างแม้แต่แสง |
แต่แล้วพอถึงวันที่ 21 ธันวาคม 2012 เข้าจริง ๆ เจ้าดาวนิบิรูกลับไม่โผล่มาให้เห็นเลย สังคมก็เลยสรุปว่า มันไม่เคยมีอยู่จริง ทางองค์การนาซ่าเอง ก็ไม่เคยบอกหรือยืนยันอย่างเป็นทางการเลยว่า มีดาวดวงนี้อยู่ในสารบบดาวใด ๆ มาก่อน แต่ระนั้นก็ดี ยังมีผู้คนพากันเชื่อได้เชื่อดีว่า มันต้องมีอยู่จริง
หนนี้มันกลับมาอีกแล้วสำหรับผู้ที่ยังคงเชื่อว่ามันมีอยู่ ขณะนี้มันได้โคจรเข้ามาในระบบสุริยะของเรา และพอมาถึงระยะที่ใกล้กับโลก แรงดึงดูดอันมหาศาลของมัน (ดาวนิบิรู ใหญ่กว่าโลกถึง 4-5 เท่า) จะส่งผลให้แรงโน้มถ่วงของโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง จะทำให้ขั้วแม่เหล็กโลกสลับเปลี่ยนขั้ว หรือทำให้โลกหมุนช้าลง จนถึงหยุดหมุนรอบตัวเอง ซึ่งจะก่อให้เกิดความแปรปรวนทางภูมิอากาศทั่วโลก อาทิเช่น ซุปเปอร์พายุหมุนกำลังแรง หรือน้ำท่วมใหญ่ ภาพเหตุการณ์ที่เลวร้ายสุดๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ก็คือ มันโคจรพุ่งชนโลกเราอย่างตรง ๆ อันนี้ไม่ต้องใช้จินตนาการใดๆเลยว่า โลกและเหล่ามนุษย์ที่อาศัยอยู่จะจบลงเอยกันอย่างไร
ในขณะที่ก็เหลือเวลาอีกไม่กี่วัน แต่กล้องโทรทรรศ์ดูดาวต่าง ๆ ทั้งบนโลกและในอวกาศเช่น กล้อง Hubble กลับยังมองไม่เห็นการมาของมันใกล้โลกเลย ดังนั้น ผู้เขียนว่า ความหายนะรายการนี้น่าจะตกอยู่ในอันดับที่เป็นไปไม่ได้อย่างที่สุด
อันดับต่อมาอีก ก็เป็นการพุ่งชนโลกของลูกอุกกาบาตขนาดใหญ่ อันนี้มาสไตล์ภาพยนตร์เรื่อง Deep Impact ดังนั้น ผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นใด ก็ไม่ต้องเสียเวลาสาธยายมาก
มหาสมุทรทั่วโลกจะเกิดคลื่นซูนามิระดับสูงหลายร้อยเมตรโถมเข้าฝั่งทวีปต่างๆ เมืองทุกเมืองที่ตั้งอยู่ชายฝั่งทวีปกลายไปเมืองใต้บาดาลในทันที สร้างความเสียหายต่อมนุษยชาติและสรรพสิ่งสุดคณานับ
บางข้อมูลก็ว่า ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นเป็นวันสิ้นโลกในช่วงเวลาดังกล่าว ก็จะเกิดภัยสงคราม หรือจราจล ระดับภูมิภาค อันสืบเนื่องมาจากการล้มสลายทางเศรษฐกิจของประเทศผู้นำโลก อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา รัสเซีย ไม่ก็จีน หรือบางประเทศในกลุ่มอียู หายนะรายการนี้มาแนวเศรษฐกิจการเงิน และการเมือง มิใช่แนววิทยาศาสตร์แต่อย่างใด ซึ่งจะว่าไปแล้ว มันก็มีความเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน แต่ในความคิดเห็นส่วนตัวแล้ว มันไม่ยังน่าจะเกิดขึ้นในเวลาช่วงนี้ ถ้าภายในอีกปีสองปีล่ะก็อาจไม่แน่เหมือนกัน
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่พวกเราจะมาลองนับถอยหลังวันสิ้นโลกภายในวันที่ 24 เดือนนี้กันดู เพราะไม่มีอะไรต้องเสีย อีกทั้งก็ไม่นานเกินรอ
ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกเหมือนคราวที่แล้วหลังวันที่ 21.12.2012 เหล่าพวกนักพยากรณ์ทั้งหลายก็คงไม่รู้สึกหน้าแตกอะไร คงพาออกมาแก้ตัวด้วยมุขเดิม ๆ ว่า วันสิ้นโลก ที่ยังไม่เกิดขึ้น ก็เพราะเหตุผลนานับประการ หรือไม่ก็ไม่พูดอะไร แต่จะเลื่อนกำหนดวันสิ้นโลกออกไปใหม่เรื่อย ๆ แต่คราวนี้ ความเชื่อของผู้คนในประเด็นโลกสูญสลาย น่าจะจุดประเด็นไม่ติดอีกต่อไป ถ้าไม่อย่างถาวร อย่างน้อยก็สักช่วงระยะเวลาหนึ่ง